กสม.ย้ำข้อเสนอต่อ ครม. เด็กถูกกระทำความรุนแรงทางเพศ โดยครู-บุคลากรการศึกษา แนะ ศธ.เร่งทำแผนจัดการความเสี่ยง

กสม. ย้ำข้อเสนอต่อ ครม. ปมเด็กถูกกระทำความรุนแรงทางเพศโดยครูหรือบุคลากรทางการศึกษา แนะ ศธ. เร่งจัดทำแผนจัดการความเสี่ยง-แนวปฏิบัติในการป้องกันปัญหาความรุนแรง

เมื่อวันที่ 12 มีนาคม นางประกายรัตน์ ต้นธีรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ทำหน้าที่แทนประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยถึงกรณีการกระทำความรุนแรงทางเพศต่อเด็กโดยครู ซึ่งล่าสุดมีเหตุการณ์เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ว่า สถานการณ์ความรุนแรงทางเพศต่อเด็กที่เกิดจากการกระทำของครูหรือบุคลากรทางการศึกษา ยังปรากฏให้เห็นเป็นข่าวอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น

นางประกายรัตน์กล่าวว่า ไม่นานมานี้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้หยิบยกสถานการณ์ปัญหาในลักษณะเดียวกันหลายกรณีขึ้นตรวจสอบและรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคสถาบันการศึกษา ภาคประชาสังคมด้านสิทธิเด็ก และหน่วยงานของรัฐ และได้จัดทำรายงานข้อเสนอแนะมาตรการต่อคณะรัฐมนตรี เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา

“ปัญหาความรุนแรงทางเพศต่อเด็กที่เกิดจากการกระทำโดยครูหรือบุคลากรทางการศึกษา นอกจากจะก่อให้เกิดผลกระทบทางด้านร่างกาย สภาพจิตใจ และอนาคตของเด็กที่เป็นผู้เสียหายแล้ว ยังเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความเข้มแข็งของสถาบันครอบครัว สถานศึกษา และชุมชน รวมไปถึงความรู้สึกของประชาชนในวงกว้าง

Advertisement

“การป้องกันและแก้ไขปัญหานี้อย่างเป็นระบบจึงเป็นเรื่องสำคัญ และจำเป็นที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรร่วมกันดำเนินการ เพื่อให้เด็กซึ่งเป็นอนาคตของชาติได้รับการคุ้มครองจากความรุนแรงในทุกรูปแบบ” นางประกายรัตน์กล่าว

นายประกายรัตน์กล่าวถึงข้อเสนอแนะในประเด็นสำคัญของ กสม.ว่า ได้เน้นย้ำให้คณะรัฐมนตรี ควรพิจารณากำหนดนโยบายด้านการขจัดความรุนแรงทางเพศต่อเด็กในภาพรวม และกำชับการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้สอดประสานและเชื่อมโยงกันในด้านนโยบาย โดยสนับสนุนงบประมาณด้านบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมสำหรับเด็กแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ให้มีจำนวนที่เพียงพอ โดยเฉพาะการเพิ่มจำนวนพนักงานสอบสวนหญิงหรือพนักงานสอบสวนที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเด็ก นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์หรือบุคลากรสหวิชาชีพอื่นๆ

นางประกายรัตน์กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการควรกำหนดให้สถานศึกษาแต่ละแห่งประสานความร่วมมือกับเด็กนักเรียน ตัวแทนผู้ปกครอง ชุมชนและหน่วยงานของรัฐในพื้นที่เพื่อจัดทำแผนจัดการความเสี่ยงด้านความรุนแรงทางเพศต่อเด็ก และแนวปฏิบัติสำหรับเด็กในการป้องกันตนเองจากความรุนแรงทางเพศ

Advertisement

นางประกายรัตน์กล่าวว่า ส่วนการพิจารณาออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ หรือการต่ออายุใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู ควรมีการกลั่นกรองและตรวจสอบการประพฤติตนตามจรรยาบรรณของวิชาชีพของครูหรือบุคลากรทางการศึกษาอย่างเคร่งครัด รวมทั้งควรกำหนดให้มีการพัฒนาความรู้ความเข้าใจในเรื่องสิทธิเด็ก และบทบาทการคุ้มครองและช่วยเหลือเด็กนักเรียนแก่บุคลากรทางการศึกษา ซึ่งจะเป็นการป้องกันยับยั้งมิให้เกิดการกระทำความรุนแรงทางเพศหรือความรุนแรงรูปแบบอื่นต่อเด็ก นอกจากนี้ ควรพัฒนาช่องทางในการร้องเรียนแจ้งเบาะแสของศูนย์คุ้มครองและช่วยเหลือนักเรียนนักศึกษาซึ่งถูกล่วงละเมิดทางเพศ รวมทั้งช่องทางให้เด็กสามารถขอรับคำปรึกษา

“คณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ ซึ่งมีอำนาจและหน้าที่ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 ควรพิจารณาจัดทำคู่มือหรือแนวทางการปฏิบัติงาน ที่เป็นมาตรฐานเฉพาะเกี่ยวกับการประสานความร่วมมือด้านกระบวนการยุติธรรมและการคุ้มครองเยียวยาเด็กในคดีความรุนแรงทางเพศ เพื่อให้การดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีกระบวนการที่ชัดเจน ไม่ซ้ำซ้อน และมีระบบการบูรณาการข้อมูลกัน

“กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ควรจัดทำ คู่มือหรือแนวทางการปฏิบัติงาน เกี่ยวกับกระบวนการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูสภาพจิตใจ วิธีการฟื้นฟูเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม รวมทั้งกิจกรรมที่มุ่งเสริมสร้างพลังอำนาจ แก่เด็กที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงทางเพศ

“กระทรวงยุติธรรมโดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ควรศึกษาและแก้ไขปรับปรุงแนวทางการพิจารณาจ่ายค่าตอบแทนแก่เด็กที่เป็นผู้เสียหายในคดีความผิดเกี่ยวกับเพศ โดยควรกำหนดแนวทางการใช้ดุลพินิจสำหรับกรณีที่ต้องพิจารณาว่าผู้เสียหายมีพฤติกรรมยินยอมหรือไม่นั้น คำนึงถึงวุฒิภาวะและอำนาจการตัดสินใจของเด็ก ตลอดจนความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างผู้กระทำความผิดกับเด็กด้วย” นางประกายรัตน์กล่าว

นางประกายรัตน์กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ กสม.ยังเสนอแนะให้ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ตรวจสอบการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับความรุนแรงทางเพศต่อเด็กของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนอย่างเคร่งครัด รวมทั้งควรประสานความร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อกำหนดแนวปฏิบัติเกี่ยวกับกระบวนการลบประวัติข้อมูลข่าวสารที่กระทบต่อความเป็นอยู่ส่วนตัว เกียรติยศ ชื่อเสียง และครอบครัว ตามหลักสิทธิที่จะถูกลืม

นางประกายรัตน์กล่าวว่า ขณะที่องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน ควรกำกับดูแลกันเองและส่งเสริมให้ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนปฏิบัติงานโดยระมัดระวังและเพิ่มความตระหนักในเรื่องผลกระทบต่อเด็กและคำนึงถึงสิทธิมนุษยชน ตลอดจนการคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคลของผู้ที่เกี่ยวข้อง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image