‘ธนาธร’ เซฟบางกลอย จวก กม.ล้าหลัง ไล่คนออกจากป่า ย้อนเล่าปมสะเทือนใจครั้งเรียน มธ.

‘ธนาธร’ เซฟบางกลอย จวก กม.ล้าหลัง ไล่คนออกจากป่า ย้อนเล่าปมสะเทือนใจครั้งเรียน มธ.

เมื่อวันที่ 15 มีนาคม ที่สะพานชมัยมรุเชฐ ทำเนียบรัฐบาล กลุ่มพีมูฟ หรือ ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม และภาคีเซฟบางกลอย จัดกิจกรรม #Saveบางกลอย ในธีม ‘จะเปล่งเสียงจนกว่าคนจะเท่ากัน’

บรรยากาศเมื่อเวลา 18.00 น. ‘แก้วใส’ วงสามัญชน และ ‘น้ำ คีตาญชลี’ เล่นดนตรีและขับร้องเพลง ‘กลอยใจ’ ซึ่งแก้วใสแต่งขึ้นเพื่อมอบให้ชาวบ้านบางกลอย

เวลาประมาณ 18.30 น. นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เดินทางมาถึงและเข้าพูดคุยกับกลุ่มภาคีเซฟบางกลอย อาทิ นายณัฐวุฒิ อุปปะ และนายธัชพงศ์ แกดำ

ต่อมา เวลา 18.45 น. นายธนาธรกล่าวปราศรัย มีเนื้อหาโดยสรุปว่า วันนี้ยินดีที่มีโอกาสมาให้กำลังใจพ่อแม่พี่น้องที่ต่อสู้ ไม่แน่ใจว่าการมาที่นี่จะช่วยได้มากน้อยเพียงใด แต่เต็มใจมา ตนไม่ได้โตมากับความยากลำบาก ไม่ได้โตมาใกล้ชิดป่าเขา แต่โตมาในป่าคอนกรีต ในชีวิตไม่เคยลำบาก มือไม่ได้หนา หยาบกร้าน หรือเอ็นปูดโปน

Advertisement

แต่เคยได้ทำกิจกรรมทางการเมืองตอนเรียนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์โดยไปเยี่ยมหมู่บ้านปกากะญอ ซึ่งทำให้รู้สึกสะเทือนใจมาถึงทุกวันนี้ นั่นคือกรณีหมู่บ้านสวนทุเรียน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อปี 2542 ซึ่งมีการประกาศอุทยานแห่งชาติกุยบุรีทับที่อยู่ จึงถูกรัฐขับไล่ลงมา แม้จะอยุในสวนทุเรียนมาหลายชั่วอายุคน รัฐจัดที่ทำกินให้ใหม่บริเวณบ้านป่าหมาก โดยให้ที่ดิน 5-10 ไร่ ตนได้เห็นการถูกไล่ริ้อ ถูกเจ้าหน้าที่รัฐคุกคาม เห็นความยากลำบากในการปรับตัว ต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่

นายธนาธรกล่าวต่อไปว่า จากวันนั้นมาถึงวันนี้ เมื่อมีนโยบายทวงคืนผืนป่า กะเหรี่ยงก็ยังถูกกีดกัน นี่คือสิ่งที่สะเทือนใจ หมู่บ้านสวนทุเรียน ไม่ต่างจากบ้านบางกลอย ทั้ง 2 แห่งถูกการขึ้นทะเบียนอุทยานทับ และต่างก็อยู่บนแนวเขาตะนาวศรี ซึ่งมีกลุ่มชาติพันธุ์อยู่อาศัยมาอย่างยาวนาน

Advertisement

“คนบางกลอยพยายามกลับไปยังที่อาศัยดั้งเดิม ที่ใจแผ่นดินครั้งแล้วครั้งเล่า จนถึงปี 2554 ที่มีความพยายามกลับใจแผ่นดินอีก สิ่งที่เกิดขึ้นคือโดนคุกคาม บ้านเรือนถูกเผาอย่างจงใจ เพื่อไล่ให้ลงมา มีผู้ใหญ่ในชุมชนนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม หนึ่งคนที่แข็งขันมากคือ บิลลี่ พอละจี รักจงเจริญ จนสุดท้ายถูกอุ้มหายไป เขาเป็นคนมือเปล่า ไม่มีอาวุธ ไม่มีพิษสง แต่ตัองการยืนยันสิทธิ เขาอยู่มาก่อนกฎหมาย ก่อนความเป็นสมัยใหม่ ก่อนเจ้าหน้าที่รัฐจะมาเสียอีก แต่กลับถูกอุ้มหาย” นายธนาธรกล่าว

นายธนาธรกล่าวว่า เรื่องราวของบางกลอย สะท้อนให้เห็นว่ารัฐไม่เห็นหัวประชาชน ไม่เห็นคุณค่า สิทธิมนุษยชน สิทธิชุมชน กฎหมายล้าหลังทำให้ประชาชนทั่วประเทศมีปัญหา ไม่ใช่เฉพาะชาวบางกลอย คือปัญหาเดียวกันจากกฎหมายล้าหลังว่าคนกับป่าอยู่ด้วยกันไม่ได้

นายธนาธร กล่าวอีกว่า ตนเชื่อว่าคนกับป่าอยู่ร่วมกันได้ ป่าที่เอาคนออกไปนั้น ป่ากลับถูกทำลาย แต่ป่าที่มีคนอยู่ด้วย เป็นป่าที่ยั่งยืน สิ่งที่เห็นจากการต่อสู้คือ เมื่อเดือนมกราคม 2564 คือ ชาวบางกลอยบอกว่าที่ทำกินไม่สามารถเพาะปลูกได้ ต้องไปเป็นแรงงาน พอมีโควิด จึงตั้งใจเดินกลับไปใจแผ่นดิน เป็นความตั้งใจในการทำผิดกฎหมายเพื่อแสดงว่า กฎหมายที่บังคับใช้ไม่เป็นธรรม จึงกล้าเผชิญหน้าท้าทายอย่างเปิดเผย และพร้อมรับผลที่ตามมา หลังจากนั้น หลายคนถูกคุกคาม ถูกดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรม ต้องมาประท้วงที่กทม.

“ไปม็อบมาหลายม็อบ ไม่มีม็อบที่ไหนสบาย มีความสุข คนที่ เขาลำบาก เดือดร้อน รู้สึกไม่เป็นธรรม ข้อเรียกร้องของชาวบางกลอยไม่ได้ยากเลย เขาบอกว่า ไม่รับเอ็มโอยูแล้ว เพราะไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย ไม่ต้องการลมปาก และกระดาษที่คิดจะคิดจะฉีกเมื่อไหร่ก็ได้ จึงต้องการให้ไปถึงครม. ให้มีการตั้งคณะกรรมการอิสระ ระหว่างนี้อย่าคุกคาม อย่าดำเนินคดี หน้าตาเขาเหมืนอาชญากรหรือ คนที่อยากกลับบ้านเป็นอาชญากรหรือ มันไม่ใช่อาชญากรรม ต้องหยุดคุกคามพวกเขาทุกกรณี ข้อเรียกร้องเหล่านี้ยากที่จะเข้าใจตรงไหน เป็นข้อเรียกร้องเรียบง่าย ถ้าจริงใจ ก็ทำได้ บางกลอยเป็นตัวอย่างของคนที่กล้าลุกขึ้นสู้ เห็นหัวเขาบ้าง ถ้าไม่เดือดร้อนอับจนหนทางจริง ไม่มีใครมานั่งชุมนุมที่ทำเนียบ

เขาอยู่มาตั้งแต่บรรพบุรุษ วันดีคืนดีเกิดรัฐ เกอดกฎหมาย เกิดการประกาศพื้นที่อุทยานแห่งชาติ จะให้เขาออกไปอยู่ไหน ทำมาหากินอะไร นี่เป็นปัญหาใหญ่มาก สิ่งนี้คือความคิดรัฐล้าหลัง มองประชาชนเป็นศัตรู คู่ขัดแย้ง ทั้งที่หน้าที่รัฐคือจัดการข้อพิพาทให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ดังนั้น เรื่องนี้ใหญ่กว่าบางกลอย เราอยู่ในประเทศแบบไหนกันที่ต้องมานั่งเซฟนู่นเซฟนี่ทุกวัน ประเทศแบบไหนที่ปล่อยให้ประชาชนต้องปกป้องกันเอง ประเทศแบบไหนที่ปฏิบัติกับประชาชนเหมือนเป็นศัตรู วันนี้เรามาที่นี่ เพื่อส่งพลังใจให้บางกลอย และต้องตระหนักว่ามีกรณีอื่นเกิดทั่วประเทศ

วันนี้ประชาชนจะไม่ยอมแพ้ พวกเขาคือคนเหมือนเรา มีจิตวิญญาณ เลือดเนื้อ เขาคือคนธรรมดาที่รักผืนแผ่นดิน คือคนที่มีสิทธิ เสรีภาพเหมือนเรา การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เพื่ออนาคตบางกลอย แต่เป็นอนาคตของผู้ถูกกดขี่ ผู้ถูกเหยียบย่ำทุกคน” นายธนาธรกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในตอนท้าย ไมรโครโฟนที่นายธนาธรใช้เกิดปัญหา ไม่มีเสียง นายธนาธรจึงตะโกนปราศรัยด้วยปากเปล่า จากนั้น มีผู้นำโทรโข่งมาให้ใช้แทน นายธนาธรชวนให้ผู้ร่วมกิจกรรมตะโกน ‘เซฟบางกลอย’ ไปพร้อมๆกันอย่างกึกก้อง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image