คนตกสีที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง : สงครามกลางใจ

หากใครหายพ้นจากเครือข่ายสังคมและการติดตามข่าวสารไปตั้งแต่ตอนหัวค่ำของวันเสาร์ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะด้วยภารกิจรัดตัวยุ่งเหยิง หรือจงใจปิดวางเครื่องมือสื่อสารให้ห่างตัว แล้วเปิดขึ้นมาใหม่ประมาณเวลาดึกดื่นใกล้เที่ยงคืน หรือเช้าวันรุ่งขึ้น คงจะมีความรู้สึกคล้าย หรือตรงกันว่า นี่มันเกิดอะไรขึ้นในชั่วเวลาไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นที่เราหายไป

ภาพของท้องถนนที่สว่างฉานด้วยกองไฟที่เกิดจากขวดค็อกเทลเพลิง หมอกไอแก๊สน้ำตาที่คละคลุ้ง ตู้คอนเทนเนอร์ที่ตั้งเป็นกำแพงจนจำไม่ได้ว่านั่นคือสถานที่ใด และผู้ได้รับบาดเจ็บจากการปะทะถูกยิงด้วยกระสุนยาง

มันดูห่างไกลความจริงจนเชื่อยากว่าภาพทั้งหมดเกิดขึ้นในนครหลวงของประเทศที่เราเคยรู้จัก

เราได้ผ่านการชุมนุมที่แสดงให้เห็นถึงสภาพความจริงของความขัดแย้งทางการเมืองที่ยังซ่อนยังสุมซึ่งมีผู้เข้าร่วมมากมายที่สุดในรอบหลายปีตั้งแต่ช่วงต้นปี 2563 และเข้มข้นถาโถมเมื่อเข้าครึ่งปีหลัง บางครั้งผู้คนมารวมตัวกันกลางเมืองล้นหลามเรือนแสนจนชวนขนลุก (จะด้วยเหตุผลใดนั้นก็ขึ้นกับว่าคุณอยู่ฝั่งไหนฝ่ายใด)

Advertisement

หากภาพการชุมนุมทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้นจนยุตินั้นก็เป็นไปอย่างเรียบร้อย หรือกระทบกระทั่งกันอย่างมากก็ออกไปในทางที่คล้ายสงครามเหนือจริงที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ถืออาวุธเคมีสีน้ำเงินโรมรันกับกองทัพเป็ดยางสีเหลือง

แต่ครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นภาพกองเพลิง หมอกควัน กระสุนยาง กระสุนจริง คงต้องย้อนกลับไปถึงการสังหารหมู่ในเดือนพฤษภาคม 2553 หรือเมื่อเกือบสิบเอ็ดปีที่แล้ว

เชื่อว่าคำ ๆ เดียวกันที่วาบผุดขึ้นในห้วงสำนึกเมื่อพลันได้เห็นภาพดังกล่าว คือคำว่า “สงครามกลางเมือง”

นี่เราเดินมาถึงจุดนี้กันได้อย่างไร

อาจจะต้องยอมรับว่าท่าทีไม่แยแสของรัฐบาลที่ดึงมาจนเกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของไวรัส COVID-19 เป็นตัวเปลี่ยนสถานการณ์ให้ฝ่ายรัฐกลับมาได้เปรียบอย่างหน้าตาเฉย

แม้จะมีเหตุสุกงอมรุนแรงยิ่งกว่าในช่วงที่เป็นขาขึ้นในเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายนเป็นไหนๆ ทั้งการไม่เห็นหัวประชาชนในเรื่องการเยื้อกั๊กเรื่องวัคซีน เกมการเมืองของพรรคแกนนำรัฐบาลและสมาชิกวุฒิสภาที่คว่ำการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับที่ฝ่ายครองอำนาจเคยสัญญาว่าจะยอมให้มีเพื่อลดแรงกดดันทางการเมืองในช่วงนั้น การจัดสรรปันส่วนเก้าอี้รัฐมนตรีแบบเลิกเหนียมกันแล้วว่าเป็นการตอบแทนซื้อใจขั้วอำนาจทางการเมืองมากกว่าจะมุ่งหาผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญมาทำงานเพื่อประเทศชาติ

หากตัวกระตุ้นระดับนี้เกิดขึ้นในบรรยากาศทางการเมืองช่วงปลายปีนั้นเอามาเทียบแบบบัญญัติไตรยางค์ ก็น่าจะเรียกคนให้ลงถนนกันได้เป็นล้าน

ทว่าวันนี้ฝ่ายประชาธิปไตยคงต้องยอมรับว่าการชุมนุมตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาจนถึงวันเสาร์ที่เกิดเหตุ แม้ว่าคนจะมากันอาจจะไม่ได้น้อย แต่ก็เรียกไม่ได้ว่าเยอะหากใช้มาตรฐานขั้นต่ำของการชุมนุมในค่ำวันธรรมดาในช่วงปลายเดือนตุลาคมปีที่แล้วมาเป็นดัชนีอ้างอิง

เช่นกันกับที่ต้องยอมรับว่า ระดับความรุนแรงของทั้งฝ่ายผู้ชุมนุมและการตอบโต้ของฝ่ายเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นก็เป็นคนละระดับกับช่วงดังกล่าวเช่นกัน นอกจากมาตรการแข็งกร้าวของทางฝ่ายรัฐที่เหมือนย่ามใจไม่ต้องสงวนท่าทีราวกับว่าไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ฝ่ายผู้ชุมนุมเองก็มีแนวโน้มที่จะเตรียมตัวไปตอบโต้ด้วยความรุนแรงมากขึ้น หรือมีการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ที่โจมตีอย่างตรงไปตรงมาชนิดไม่ต้องตีความ

ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะแกนนำผู้ชุมนุมสายสงบสันตินั้นถูกจับกุมไปกักขังและไม่ให้ปล่อยตัวชั่วคราวด้วยข้อหาร้ายแรงกันเกือบหมด ม็อบไม่มีแกนนำ หรืออันที่จริงอาจจะเรียกได้ว่าไม่รู้ว่าใครนำใครตาม ส่วนฝ่ายรัฐเองก็ไปสุดซอยขนาด แม้แต่จะตั้งข้อหาร้ายแรงแก่เยาวชนและจับไปกักขังไว้ดำเนินคดีโดยไม่ให้ปล่อยชั่วคราวก็ทำแล้ว ล่าสุดถึงขนาดว่าผู้ต้องหาคดีร้ายแรงรายล่าสุดเป็นเด็กหญิงวัย 14-15 ปี

การตั้งข้อหาดำเนินคดีก็ไม่เหลือคำว่านิติรัฐใดๆ ให้เห็น ไม่ได้สนใจเรื่องความได้สัดส่วนหรือพอสมควรแก่เหตุ ถึงขนาดจับกุมผู้คนด้วยวิธีการรุนแรงราวกับจับตัวเชลยศึกในสงครามเพียงเพื่อดำเนินคดีในข้อหาฝ่าฝืนกฎหมายควบคุมโรคและขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน

ทั้งหมดประกอบกัน ราษฎรผู้ต่อสู้เรียกร้องตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบและอ่อนแรง ในขณะที่ฝ่ายอำนาจรัฐและผู้สนับสนุนนั้นได้เปรียบกล้าแข็งขึ้นในทุกหน้า ทั้งสนามรบเชิงอำนาจรัฐ กระบวนการยุติธรรม และสนามรบทางการเมือง ดังที่ปรากฏว่าในการเลือกตั้งทุกระดับในช่วงหลังๆ ก็จะเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือคนที่รัฐบาลสนับสนุนเป็นฝ่ายได้ชัย รวมถึงเกมการต่อสู้ในสภาก็ชัดเจนกันไปแล้วเช่นกันว่ามีพรรครัฐบาลสองสาขาอยู่ในสภาบนสภาล่าง ซึ่งพร้อมผนึกกำลังกันได้แบบร่วมกันและแทนกัน จนการต่อสู้ในทางระบบนั้นอาจกล่าวได้ว่าไร้หนทางชนะโดยสิ้นเชิง

ก่อนหน้านี้ไม่นาน เราได้เห็นภาพการต่อสู้ต่อต้านการรัฐประหารในพม่าที่น่าทึ่งจนต้องยอมรับ ทั้งในแง่ของจำนวนคนที่ล้นหลามมากมายทั่วทุกเมือง ความร่วมมือร่วมใจกันในหมู่ประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐแทบทุกระดับ แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ของรัฐระดับสูงอย่างเอกอัครราชทูตก็ยังชูสามนิ้วอันเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้ขัดขืน หรือผู้คนในภาคสถาบันการเงินก็หยุดงานกันจนเกือบๆ จะทำให้ระบบการเงินการธนาคารล่มลงชั่วคราว

หลายคนกล่าวว่า การต่อสู้ของราษฎรไทยที่ผ่านมาว่าไปไกลแล้ว แต่ของพม่าก็ยังไปได้ไกลกว่า

หากสิ่งที่เหมือนกันคือ ต่างฝ่ายต่างก็ยังไม่เห็นทางชนะ และสำหรับกรณีของไทยสถานการณ์การต่อสู้ของเรานั้น แม้จะสูญเสียไม่รุนแรงเท่าในเชิงของจำนวนของผู้เสียชีวิต แต่ปลายทางกลับมืดหม่นห่างไกลไม่ต่างกัน

ความแตกต่างกันสำคัญประการหนึ่งของการต่อสู้ทางการเมืองในไทยกับพม่า คือ ฉันทามติร่วมกันของสังคมไทยยังน้อยกว่า แม้อาจจะพอพูดได้ก็ตามว่ากระแสเสียงส่วนใหญ่นั้นผู้คนเห็นด้วยกับฝ่ายผู้ชุมนุม หากก็ต้องยอมรับว่าฝ่ายฝั่งที่ยังคงเห็นดีเห็นงามกับฝ่ายอำนาจจารีตและอำนาจรัฐ และผู้ที่ได้ประโยชน์จากความบิดเบือนบิดเบี้ยวนี้ก็ยังมีจำนวนไม่น้อย

แต่ที่มากกว่านั้น และอาจจะมากกว่าทั้งสองฝ่าย คือกลุ่มคนที่เลือกจะไม่แสดงออก หรือเข้าร่วมในการต่อสู้ ทั้งที่แม้จะเห็นด้วยกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด (ที่โดยมากคือฝ่ายประชาธิปไตย) แต่ไม่กล้าแสดงตน ซึ่งเมื่อร่วมกับฝ่ายที่ไม่สนใจอะไรเลยจริงๆ ก็มีอยู่ไม่ใช่น้อย

สำหรับคนที่เห็นด้วยกับฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับผู้ครองอำนาจ แต่ไม่สามารถแสดงออก หรือเข้าร่วมในการต่อสู้ได้นั้น หลายคนจะต้องรับมือกับ “สงครามกลางใจ” ที่กำลังต่อสู้กันระหว่างอุดมการณ์ สามัญสำนึก กับเหตุผลทางได้เสียอย่างเป็นรูปธรรมตามความเป็นจริง

นั่นเพราะ “เครือข่าย” ของฝ่ายอำนาจไทยนั้นยิ่งใหญ่ล้นพ้นและซับซ้อนเกิน ซึ่งเกิดจากการสั่งสมทุน อำนาจ และวัฒนธรรมมาเป็นเวลายาวนานหลายสิบปี ทุกอย่างที่พวกเขาได้จัดวางสร้างมา ราวกับรอไว้ใช้ในวันเวลาเช่นในตอนนี้ แต่อีกทางหนึ่ง

สิ่งที่เขาสร้างมาเช่นนั้นก็เป็นราคาสำหรับพวกเขาเหมือนกันที่ยังต้องเหนี่ยวรั้งไม่จัดการกับประชาชนผู้ต่อต้านในมาตรฐานเดียวกับประเทศเพื่อนบ้าน… อย่างน้อยก็ในขณะนี้

การแข็งขืนเครือข่ายอันแข็งแรงนั้นมีราคาที่ต้องแลก และราคานั้นแพงพอที่คนที่ตัดสินใจด้วยเหตุผลในระดับวิญญูชนจะต้องคิดให้รอบคอบก่อนเข้าร่วมการต่อสู้ หรือแม้เพียงแสดงตนว่าเห็นด้วยกับฝ่ายตรงข้ามเครือข่ายอำนาจนั้นก็อาจจะเดือดร้อนได้ไม่ว่าคุณจะทำอะไรหรืออยู่ที่ไหนจุดใด ตัวอย่างมีให้เห็นไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร การออกมาแสดงตัวแสดงตน หรืออันที่จริงเพียงการใช้สิทธิโดยชอบในการแสดงความคิดเห็นหรือมีส่วนร่วมทางการเมืองนั้นมีโทษภัยสำหรับทุกคนหนักเบาตามแต่บุคคล

มันซ้ำเติมย้อนแย้งในแง่ที่ว่า สภาพปัญหาทางเศรษฐกิจจากวิกฤตต่างๆ ในตอนนี้ ใครที่ยังพอจะประคองสถานการณ์ส่วนตัวเพื่อให้ไปต่อได้รู้ดีว่าการทำอะไรสักอย่างที่มันเสี่ยงต่อการทุบหม้อข้าวตัวเองนั้นไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดเท่าไร แต่การนิ่งเฉยอยู่ก็เท่ากับเป็นการสนับสนุน และปล่อยให้ตัวผู้ก่อปัญหานั้นลอยหน้าลอยตาอยู่ได้ต่อไปแบบไร้การต่อต้าน เพื่อจะพาเราเข้าไปสู่หุบวิกฤตที่ลึกลงไปได้อีกเกินกว่าจินตนาการ

แต่ไม่มีใครปลุกคนที่แกล้งหลับได้ ในอีกทางหนึ่ง ผู้ที่ตื่นแล้วอาจหลับตาได้แม้เขาจะไม่ตกอยู่ในห้วงนิทรา และในความมืดนั้นก็ยากจะแยกได้ว่าบรรดาผู้ที่นอนนิ่งไม่ติงไหวนั้นมีใครที่หลับจริง หรือเพียงหลับตาบ้าง

ขอปิดท้ายด้วยเรื่องเล่าเมื่อนานมาแล้วสักราวๆ กลางปีก่อน มีเด็กผู้หญิงวัยมัธยมผูกโบสีขาวแสดงภราดรภาพร่วมอุดมการณ์ขึ้นรถเมล์แล้วโชคร้ายไปนั่งใกล้ลุงป้าปากว่ามือถึง เมื่อเห็นเด็กผูกโบขาวขัดลูกตา ลุงป้าก็ช่วยกันด่าลอยลมแบบตั้งใจให้เด็กสาวคนนั้นได้ยิน เพื่อกลั่นแกล้งให้ได้อับได้อายหรือระบายอารมณ์สักอย่าง

ไม่กี่นานจากนั้นใครคนหนึ่งบนรถเมล์คันนั้นก็ส่งเสียงแรกออกมาว่า “ศักดินาจงพินาศ ประชาราษฎร์จงเจริญ”

จากนั้นประโยคดังกล่าวก็กระหึ่มดังไปทั่วคัน พร้อมผู้โดยสารเกือบทั้งคันที่ชูสามนิ้ว รวมถึงกระเป๋ารถเมล์และคนขับด้วย จนกระทั่งกลายเป็นลุงป้าคู่นั้นต้องรีบลงป้ายหน้า

นี่คือเรื่องเล่าปราศจากหลักฐานจนหลายคนกังขาว่าอาจจะคิดว่าเป็นแค่เรื่องแต่งประโลมใจ

หรือล่าสุดที่มีผู้ถ่ายทอดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องพิจารณาคดีในศาลที่ไม่ต่างจากสิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่องเล่าบนรถเมล์คันนั้น เรื่องนี้ก็ไม่มีหลักฐานเช่นกัน เพราะผู้อยู่ในเหตุการณ์เท่านั้นที่จะตอบได้ว่าเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นจริงหรือไม่

อันที่จริงสิ่งที่น่าหวั่นเกรงยิ่งกว่าภาพค็อกเทลเพลิงที่ลุกโชนบนถนน คือ รายงานข่าวว่า ระหว่างการล้อมปราบ มีประชาชนที่อยู่อาศัยแถวนั้นระดมขว้างปาขวดน้ำข้าวของใส่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ รวมถึงถ่ายคลิปที่จะใช้มัดตัวเป็นหลักฐานในการดำเนินคดีย้อนหลังต่อผู้เกี่ยวข้องทั้งที่ปฏิบัติการ และสั่งการให้ใช้กำลังรุนแรงเกินกว่าเหตุ มีผู้เปิดร้านเปิดบ้านให้ผู้ชุมนุมที่ถูกแก๊สน้ำตาเข้าไปหลบพักล้างพิษ

เราไม่อาจหยั่งรู้หรอกว่าในสงครามกลางใจของใครแต่ละคนนั้น เหตุผลกับอุดมการณ์ ฝ่ายไหนจะได้ชัยไปในตอนท้าย และคนที่ตื่นขึ้นมาแล้ว แต่ยังหลับตาอยู่อาจลืมตาขึ้นมาในความมืดเพื่อจ้องหาโอกาสโต้ตอบ หรือจะถูกความมืดกินกลืนให้หลับไหลลึกลงไปจริงๆ

 

กล้า สมุทวณิช

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image