วิเคราะห์หน้า 3 : กม.ประชามติ อีกบทพิสูจน์ รัฐบาล บิ๊กตู่
การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่เมื่อรัฐสภามีมติในวาระ 3
คว่ำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ
หลังจากนั้นการชุมนุมของกลุ่มที่เห็นต่างจากรัฐบาลได้เกิดขึ้น
ใช้ข้อกล่าวหาที่ตำรวจแจ้งกับแกนนำเป็นเงื่อนไข ใช้การคุมขังแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมเป็นข้อเรียกร้อง
การชุมนุมเดิมที่มีแกนนำ เมื่อแกนนำถูกจับมาก ม็อบก็รวมตัวกันแบบไม่มีแกนนำ
แม้ดูเหมือนว่าผู้เข้าร่วมชุมนุมแบบไร้แกนนำจะมีไม่มาก แต่กลับเกิดความรุนแรงแทบทุกครั้ง
เปรียบเทียบกับ การชุมนุมที่แยกราชประสงค์เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ซึ่งมีแกนนำแล้ว
การชุมนุมดังกล่าวมีผู้เข้าร่วมหนาตา แต่ไม่เกิดความรุนแรงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ม็อบเมื่อวันที่ 24 มีนาคม ก็มีความหนักแน่นในข้อเรียกร้อง
ปล่อยเพื่อนเรา !
สิ่งที่เกิดขึ้นตอกย้ำว่า กลุ่มผู้เรียกร้องที่มีความเห็นต่างจากรัฐบาลนั้นยังคงมีอยู่
และพร้อมที่จะออกมาแสดงตัวเสมอ
ตอกย้ำอีกครั้งว่า ความขัดแย้งยังคงอยู่ การเมืองยังไม่สงบ
น่าเสียดายที่กลไกการลดความขัดแย้ง นั่นคือร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เปิดทางให้เลือกตั้ง ส.ส.ร. และยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ไม่สามารถขับเคลื่อนต่อไปได้
แม้ว่าพรรคการเมืองจะเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา แต่สังคมเริ่มรู้สึกไม่เชื่อมั่นคำสัญญา
ยิ่งเมื่อถามรัฐบาลว่าพร้อมจะเป็นเจ้าภาพแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะรัฐบาลมีนโยบายแก้ไขรัฐธรรมนูญ
คำตอบที่ได้ยิน คือ เป็นเรื่องของรัฐสภา
ยิ่งเมื่อถามวิปรัฐบาลพร้อมจะเป็นเจ้าภาพหรือไม่
คำตอบที่ได้ยิน คือ พรรคพลังประชารัฐจะแยกเสนอแก้ไขรายมาตราเองต่างหาก
ยิ่งตอกย้ำว่า ข้อความในการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา ต้องเป็นการแก้ไขเนื้อหาเพื่อประโยชน์ของพรรคการเมือง
พรรคใคร พรรคมัน
ที่สำคัญ หากการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรามีอันเป็นไป พรรคการเมืองก็ยังอยู่ รัฐบาลก็ยังอยู่
ไม่ต้องมีใครแสดงความรับผิดชอบ
เมื่อเป็นเช่นนี้ ย่อมไม่แปลกที่รัฐสภาจะถูกมองด้วยสายตาหวาดระแวง
ไม่น่าเชื่อถือ ไม่น่าเชื่อใจ
หนทางที่จะนำกลับไปสู่แสงสว่างการลดความขัดแย้งคือการประชามติสอบถามประชาชนว่าต้องการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่
แต่กฎหมายประชามติยังค้างอยู่ในรัฐสภา ขณะนี้ดำเนินการพิจารณาในวาระ 2 การพิจารณาดำเนินการมาถึงมาตรา 9
และเป็นมาตราที่ฝ่ายรัฐบาลโหวตแพ้ข้อเสนอจากฝ่ายค้าน
ประเด็นเดิมในร่างกฎหมาย คือ รัฐบาลเท่านั้นที่เป็นผู้เสนอให้ทำประชามติ
แต่ประเด็นใหม่ที่มีการโหวตแก้ไข คือ รัฐสภา และประชาชน ก็มีสิทธิเสนอให้ทำประชามติด้วย
จากนั้นความเห็นเฉกเช่นเดิมก็ดังขึ้น นั่นคือ การให้รัฐสภา หรือประชาชน มีสิทธิเสนอทำประชามติ อาจจะขัดรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน
ตระเตรียมจะส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความอีกแล้ว
เพียงแต่ร่างกฎหมายประชามติที่กำลังพิจารณาถือเป็นกฎหมายสำคัญที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบ
จึงมีกระแสข่าวเป็นคำเตือนจาก นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ว่า หากปล่อยให้ร่างฉบับนี้ตกไป อาจมีผลกระทบต่อรัฐบาล
ทางออกที่พึงกระทำ คือ ปล่อยให้กฎหมายฉบับนี้ผ่าน แล้วทำร่างแก้ไขกฎหมายฉบับที่เพิ่งผ่าน เพื่อให้เนื้อความกลับมาสู่ที่เดิม
เป็นกระแสข่าวที่ตอกย้ำความเข้มแข็งของฝ่ายรัฐบาล
หากยังจำได้ ก่อนหน้านี้พรรคร่วมรัฐบาลเคยโหวตกฎหมายแพ้ฝ่ายค้าน สิ่งที่พรรคร่วมรัฐบาลเสนอคือ โหวตใหม่
คราวนี้ร่างกฎหมายที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบกลับแพ้โหวตบางมาตรา
ข้อเสนอที่ได้ยิน คือ ให้เสนอร่างแก้ไขไปทันที
เมื่อมีคำวินิจฉัยจากศาลรัฐธรรมนูญเรื่องการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องทำประชามติก่อน กฎหมายประชามติจึงกลายเป็นกลไกหนึ่งในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง
ถ้ากฎหมายประชามติประกาศใช้ และมีการเสนอให้ทำประชามติเรื่องยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่
ผลจากการประชามติจะช่วยลดความร้อนแรงในขณะนี้ได้หลายองศา
แต่ดูเหมือนว่า ฝ่ายรัฐบาลจะลังเลในการผลักดันกฎหมายประชามติอีกแล้ว
เช่นเดียวกับฝ่ายวุฒิสภาที่ส่งเสียงขู่ว่าอาจจะวุ่นวาย
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวสะกิดให้หันกลับไปมองที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อีกครั้ง
ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ เพิ่งท้ากลุ่มไล่ว่า ถ้าไม่อยากให้สืบทอดอำนาจก็ไปแก้รัฐธรรมนูญให้สำเร็จก่อน
ก่อนหน้านี้พรรคพลังประชารัฐ และวุฒิสภา เพิ่งคว่ำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เปิดทางให้ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
และเมื่อกฎหมายประชามติที่กำลังพิจารณา กำลังจะมีเนื้อหาที่เปิดกว้างในการยื่นทำประชามติ
กระแสยื่นศาลรัฐธรรมนูญก็กระหึ่ม
กระแสทำร่างแก้ไขกฎหมายประชามติก็ดังขึ้น
ทุกความเคลื่อนไหวคือบทพิสูจน์ความจริงใจของรัฐบาล
พิสูจน์ความต้องการ “ยึดอำนาจ” หรือ “คายอำนาจ”
บทพิสูจน์นี้ย่อมมีความสัมพันธ์กับความคึกคักทางการเมือง และการชุมนุมเรียกร้องต่อไป