จุดยืนรัฐบาล‘ไทย’ ท่าทีต่อเผด็จการพม่า
หมายเหตุ – ความเห็นนักวิชาการต่อท่าทีของรัฐบาลไทย ในการแสดงจุดยืนต่อสถานการณ์ในประเทศเมียนมา
ผศ.ดร.ฐิติวุฒิ บุญยวงศ์วิวัชร
คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ ม.เชียงใหม่
ท่าทีของรัฐบาลไทยที่มีต่อสถานการณ์ในเมียนมา แยกได้เป็น 2 ระดับ คือ 1.ความสัมพันธ์ในระดับบน เป็นความสัมพันธ์ระหว่างตัวผู้นำกับผู้นำ และ 2.ความสัมพันธ์ระดับล่าง ระหว่างประเทศไทยกับเมียนมา
ณ ปัจจุบัน อาจจะต้องแบ่งแยกให้ชัด เพราะความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นนำกับชนชั้นนำ ก็เป็นอุปสรรคของไทยในการวางท่าทีต่อความรุนแรงในเมียนมาด้วย รัฐบาลไทยจะต้องมองในระยะยาวว่าความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับประชาชน และความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐก็มีความสำคัญและยั่งยืนได้ ไม่แพ้เรื่องชนชั้นนำกับชนชั้นนำ
ดังนั้น ทั้ง 3 ประเด็น 1.ความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นนำต่อชนชั้นนำ 2.ประชาชนต่อประชาชน และ 3.รัฐต่อรัฐรัฐบาลไทยควรจะให้ความสำคัญกับ 2 ประเด็นหลัง มากกว่าการมีท่าทีในความสัมพันธ์ระดับบน
ส่วนความสัมพันธ์ในระดับล่าง คือการที่ไทยวางท่าทีในระดับประเทศ ซึ่งรัฐบาลไทยบอกว่า ไม่แทรกแซงกิจการภายใน แต่ไทยยังมีประเด็นความสัมพันธ์ระดับล่าง ทั้งความสัมพันธ์ระหว่างชายแดนไทย-เมียนมา หรือกลุ่มชาติพันธุ์ที่พยายามหลบหนีจากความรุนแรง จากการปราบปรามของรัฐบาลเมียนมา
ส่วนตัวจึงมีข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลไทยอยู่ 3 เรื่อง คือ 1.ในระยะสั้น รัฐบาลไทยอาจจะต้องเตรียมให้ความช่วยเหลือในด้านมนุษยธรรม เพราะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ ในแง่ความเป็นมนุษย์
2.ในระยะกลาง ถ้าหากมองความสัมพันธ์ของรัฐไทยในแง่นโยบาย ต่อผู้อพยพ ก็อาจจะต้องมองในเรื่องการวางแผน 2 ซึ่งแน่นอนว่าแผนแรก มีเรื่องการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม แต่ถ้าจะให้ต่อเนื่องมากไปกว่านี้ รัฐจะต้องมองเรื่องของพื้นที่ และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
และเรื่องที่ 3.คือการปรับนโยบายชายแดนใหม่ทั้งหมด เพราะเกี่ยวพันกับท่าทีของไทย ต่อความรุนแรงในเมียนมาโดยตรง
ส่วนตัวเข้าใจความกระอักกระอ่วนของประเทศเพื่อนบ้านว่า แสดงท่าทีอะไรมากไม่ได้ แต่เราก็สามารถเปลี่ยนหรือปรับปรุงนโยบายชายแดนของเราใหม่ทั้งหมดได้ โดยเฉพาะเรื่องของผู้อพยพ ทั้งในแง่ของเรื่องยาเสพติด อาชญากรรมข้ามชาติ หรือแม้กระทั่งการค้าอาวุธข้ามชาติ อาจจะต้องปรับทุกเรื่องให้เป็นเรื่องเดียวกัน เพราะความรุนแรงในเมียนมาสะเทือนไทยอย่างเจาะจง ซึ่งเรายังเน้นย้ำว่า ไม่แทรกแซงกิจการเพื่อนบ้าน แต่ตอนนี้ปัญหาเข้ามาในบ้านแล้ว จึงไม่สามารถที่จะยืนยันแบบนั้นได้อีก
ประเด็นอันเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ เรื่องการลำเลียงข้าวสารที่รัฐปฏิเสธ ก็เป็นผลสะท้อนที่ชัดเจนมากว่านโยบายชายแดนของไทยในปัจจุบันถึงขั้นที่จะต้องสังคายนาหรือว่าปรับปรุงกันอย่างยกใหญ่ เพราะนโยบายของเราหลังจากยุคสงครามเย็น จากยุค พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นต้นมา เราเน้นความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจอิงกับรัฐเมียนมา แทนที่จะอิงความสัมพันธ์กับประชาชน โดยเฉพาะในมุมประชาชน ไทย-เมียนมาและกลุ่มชาติพันธุ์ ฉะนั้น ความตกยุคของนโยบายแบบนั้น มาถึงยุคปัจจุบันนี้ ปัญหาเรื่องความมั่นคงเข้ามาแทนที่เรื่องเศรษฐกิจแล้ว การปฏิรูปนโยบายชายแดน จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลไทยจะต้องมองเป็นวาระเร่งด่วน
ในช่วงหลัง รัฐบาลไทยจะเน้นความสัมพันธ์ระหว่างการทูต หรือระหว่างชนชั้นนำไทยต่อชนชั้นนำเมียนมา แม้กระทั่งชนชั้นนำไทยกับชนชั้นนำกัมพูชา แต่สิ่งที่สำคัญ คือ เราเองต้องมองความสัมพันธ์การทูตของประชาชนในระยะยาวด้วย หรือแม้แต่กระทั่งความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐ ในท้ายที่สุดแล้ว รัฐเองจะเลือกความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นนำ หรือว่ารัฐจะเลือกความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศ สิ่งนี้เรียกว่าความยั่งยืนของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในอนาคต ดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับประชาชนระดับรากหญ้า รัฐบาลจะต้องตระหนักถึงจุดนี้นี่คือข้อเสนอแนะที่สำคัญ
ส่วนในแง่การแสดงจุดยืนของไทย อย่างน้อยที่สุด ควรจะต้องทำงานเป็นทีม ร่วมกับสมาชิกของอาเซียน ในการแก้ไขปัญหาเมียนมาให้คลี่คลาย ซึ่งการทำงานร่วมกันเป็นทีมกับสมาชิกอาเซียนนั้น คงต้องแบ่งหน้าที่ในการจัดการเรื่องเมียนมาให้ชัดเจน เพราะไม่อย่างนั้น ไทยเองอาจถูกมองภาพเป็นประเทศที่นิ่งเฉย
เราอาจต้องสร้างความกระจ่าง ว่า ณ ตอนนี้เราแสดงบทบาทอะไรอยู่ เช่น เป็นคนส่งสาร เป็นคนอำนวยความสะดวก หรือว่าเป็นคนทำอะไรในฐานะทีมอาเซียน ณ ปัจจุบันต้องมองว่า “เราทำอะไร” เป็นข้อเสนอแนะเรื่องความสัมพันธ์ของอาเซียน กับไทยด้วย
ผศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช
อาจารย์คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์การเมืองเมียนมาร่วมสมัย
ผมรู้สึกเสียใจและเห็นใจคนพม่า แต่เมื่อย้อนไปดูพัฒนาการทางการเมืองในเรื่องนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะการสังหารประชาชนอย่างเหี้ยมโหด บ้าระห่ำ เป็นขนบการใช้อำนาจแบบปกติของทหารพม่าอยู่แล้ว
ส่วนตัวมีข้อสังเกตอยู่ 3 ประการ
1.ทหารพม่าเป็นผู้เชี่ยวชาญการสร้างรัฐผ่านยุทธศาสตร์สงคราม จึงเป็นผู้เชี่ยวชาญ ด้านการใช้ความรุนแรง ผ่านประสบการณ์ทางการทหารอันโชกโชน
2.ทหารพม่า มีรากเหง้าของผู้นำทหารฝ่ายอนุรักษนิยมที่ไม่ได้มองประชาชนว่าเป็นพลเมือง มีสิทธิ มีศักดิ์มีศรีตามหลักสิทธิมนุษยชน แต่มองว่าเมื่อใดก็ตามที่บ้านเมืองสับสนวุ่นวาย ไร้ระเบียบ และประชาชนเป็นตัวเขย่ารัฐทำให้เกิดภาวะจลาจล จะเป็นอันตรายต่อสภาพและอธิปไตย เขาต้องจัดการให้สิ้นซาก ด้วยการใช้ความรุนแรง แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน
3.กองทัพพม่ามองประชาชน ไม่ต่างจากพวกไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน โยธาในสมัยโบราณ เขามองว่าไม่ใช่การละเมิดสิทธิมนุษยชน เป็นเพียงแค่แรงงานอาสาตามประเพณี กองทัพเมียนมาปราบปรามประชาชน จึง 1.ไม่ได้สนใจเรื่องสิทธิพลเมือง 2.เขาชินชาต่อวัฒนธรรมการใช้ความรุนแรง ไม่ได้สะทกสะท้านเท่าใดนัก เพราะเขาสร้างรัฐผ่านสงครามมากับมือ
ดังนั้น ต้นทุนของประชาชนเวลาถูกยิง รัฐไม่มีค่าใช้จ่าย ไม่ต้องถูกมอนิเตอร์มาก เมื่อเทียบกับบางประเทศ ที่ต้องมีการเรียกร้องค่าเสียหาย ค่าทำศพ ถูกตรวจสอบที่ผ่านมาเขาไม่เคยเจอสภาพพวกนี้จึงเป็นความชินของทหารพม่า
ทั้งนี้ ไทยได้เปิดความสัมพันธ์แบบเป็นทางการกับคณะรัฐประหารพม่าไปแล้ว ท่านดอน ปรมัตถ์วินัย ก็รับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของคณะรัฐบาล มิน อ่อง ลาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ยอมรับ แม้ความเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ของ มิน อ่อง ลาย จะยังไม่สะเด็ดน้ำก็ตาม เพราะยังมีการก่อหวอดประท้วงอยู่ หรือแม้แต่การที่ มิน อ่อง ลาย หรือตัวแทนสภาบริหารแห่งรัฐ ก็เข้าไปประชุมกับตัวแทนของรัฐบาลในกลุ่มประเทศอาเซียน ทั้งทาง video conference ทาง ZOOM ก็เกิดขึ้นแล้ว ดังนั้น การรับรองคณะรัฐประหารแบบความสัมพันธ์ทางการทูตแบบปกติ มีขึ้นแล้วในหลายประเทศ เพียงแต่ต้องระมัดระวัง อาจต้องมีการส่งสัญญาณเตือนไม่ให้ใช้ความรุนแรง หรือบางประเทศเรียกร้องการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย ซึ่งขึ้นอยู่กับท่าทีทางการทูตของแต่ละประเทศ หลายประเทศในอาเซียน
อย่างไรก็ดี การห้ามปรามความรุนแรงควรมี แต่ต้องอยู่ในห้วงจังหวะที่เหมาะสม เพราะตอนนี้คณะรัฐประหารมิน อ่อง ลาย ใช่ว่าจะต้องติดต่อ หรือฟังประเทศไทยอย่างเดียว แม้เราจะเป็นรัฐเพื่อนบ้านกับพม่า แต่ก็ยังมีมหาอำนาจการเมืองโลกที่มีผลประโยชน์ และคอนเน็กชั่น เช่น จีน รัสเซีย หรือแม้แต่วันเดินสวนสนามของกองทัพเมียนมา ก็มีรัฐอื่นเข้ามาร่วม เช่น เวียดนาม ปากีสถาน มีอย่างน้อย 8-9 ประเทศ ที่พอจะจับกระแสได้ เห็นชัดเจนว่าคงความสัมพันธ์ ไม่กดดันกองทัพพม่าอย่างรุนแรงเมื่อเทียบกับตะวันตก
แต่สำหรับประเทศไทย มีลักษณะไม่เหมือนกับสหรัฐอเมริกา หรือสหภาพยุโรป ออสเตรเลีย เราไม่สามารถประณามคณะรัฐประหารพม่าในระดับที่เข้มข้นได้ เพราะ 1.เรามีอาณาเขตพรมแดน ทางบก 2,401 กม. ติดกับพม่า เวลานี้แทบจะคุยกันเรื่องการรับผู้ลี้ภัย การรบ ไทยเริ่มทำงานหนัก ในการคัดกรอง ตรึงชายแดน เพราะสถานการณ์ในรัฐกะเหรี่ยงเวลานี้ เริ่มทะลักเข้ามาทาง อ.สบเมย อ.แม่สะเรียง สายกระทรวงมหาดไทยในบ้านเรา กองทัพภาคที่ 1 กองทัพภาคที่ 3 กองกำลังหน่วยรบต่างๆ ทั้งกองกำลังหน่วยรบนเรศวร กองกำลังสุรสีห์ ที่ตรึงแนว จ.ตาก กาญจนบุรี ก็ต้องเตรียมรับมือด้วยการพูดถึงแผนเผชิญเหตุเสียมากกว่า การจะรับผู้ลี้ภัยอย่างไร กำลังจะไปกระจุกอยู่ตรงนั้น
ส่วนเรื่องของนโยบายต่างประเทศ เชื่อว่าเวลานี้รัฐไทยก็ยังคงสงวนท่าทีอยู่ โดยใช้บรรทัดฐานอาเซียน การไม่แทรกแซงกิจการภายใน อาเซียนบางประเทศที่พูดว่าต้องมีมาตรการกดดันไปไกลกว่าการไม่แทรกแซงกิจการภายใน ต้องอย่าลืมว่าในประเพณีการทูต ดำเนินนโยบายต่างประเทศ มีหลักที่สำคัญอย่างหนึ่ง คือ การพัวพันหรือปฏิสัมพันธ์เชิงสร้างสรรค์ (constructive engagement) ในจุดนี้ขนาด ท่านทักษิณ ชินวัตร ผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ก็ยังทำแบบนี้กับพม่าเช่นกัน หลักการคือ เน้นค้าขาย รักษาผลประโยชน์กับพม่าอย่างเดียว แต่ไม่ไปกดดันรัฐบาลทหาร เพราะจะเสียโอกาสทางธุรกิจ และแม้จะมีการเสนอแนวทางปฏิสัมพันธ์พัวพันแบบยืดหยุ่น กล่าวคือไม่แทรกแซงกิจการภายใน แต่หากมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง ส่งผลต่อภูมิภาค น่าจะมีมาตรการกดดันกันได้ แทนที่จะละเลยเพิกเฉย แต่ที่ผ่านมา constructive engagement ก็ยังได้รับการสืบสานต่อเนื่องอยู่ จึงเชื่อว่าหลายประเทศคงไม่กระฉับกระเฉงที่จะไปแทรกแซง หรือกดดันพม่ามากในเวลานี้
บางทีเราอาจยกระดับการแทรกแซงได้ แต่จะเพิ่มได้อย่างไรต้องดูระดับความรุนแรงของสถานการณ์ที่เกิดในพม่าด้วย เพราะเวลานี้ ประชาคมโลกบอกรุนแรงมาก ตายหลายร้อย ในมุมของรัฐบาลทหารพม่า อาจมองว่านี่เป็นเพียงภาวะจลาจล ตายหลักร้อย ยังไม่ถึงขั้นสงครามกลางเมือง ที่ตายหลายพัน หลายหมื่นคน ทั้งยังมีเรื่องการชิงอำนาจในรัฐ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่มาผสมปนเป หากเป็นเช่นนั้นหลายประเทศก็คงจะสับสน จนอาจเริ่มพูดถึงการแทรกแซงกิจการภายในบ้าง เพราะเป็นวิกฤตที่รุนแรง แม้ตอนนี้จะยัง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะวิวัฒน์ไปสู่ขั้นนั้นหรือไม่ สูญเสียเยอะเช่นนั้นหรือจะจบเกมเร็ว เราต้องรอดูอีกนิด
อาจเป็นข้อแนะนำที่ไม่ถูกใจใครหลายคน แต่ทั้งในมุมผลประโยชน์ของรัฐไทย รวมถึงความสัมพันธ์กับประเทศพม่า และการยืนอยู่บนหลักพื้นฐานสิทธิมนุษยธรรม ประเทศไทยอาจใช้นโยบายเฝ้าคอยและรอดูไปก่อน ติดตามสถานการณ์ ไม่ออกท่าที ไม่เลือกข้างอย่างรุนแรง โจ่งแจ้ง รวดเร็ว ฉับพลันจนเกินไปไม่เลือกกระโจนไปอยู่ข้างสหรัฐอเมริกาแล้วกดดันรัฐบาลพม่า หรือกระโจนไปสนับสนุนคณะรัฐประหารพม่า จนละเลยเรื่องสิทธิมนุษยธรรม เราควรยืนพื้น ณ จุดที่มองว่าเป็นเรื่องภายในของประเทศพม่า ที่รัฐไทยก็เป็นห่วง เฝ้าดูและไม่อยากให้มีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นมากไปกว่านี้
แต่หน้าที่ของรัฐไทยอาจมีอยู่ 2-3 ประการ คือ 1.รักษาความสงบตามแนวชายแดน มีผู้อพยพมาก็ช่วยเหลือพื้นฐานตามหลักมนุษยธรรม ขณะเดียวกัน 2.ไทยอาจเป็นช่องทางสำคัญในเวทีอาเซียน เป็นกาวใจ เป็นพื้นที่พูดคุยความคับข้องใจ ทั้งจากคณะรัฐประหารพม่า มีอะไรก็ติดต่อการทูตแบบเป็นทางการจากฝั่งไทยได้ ขณะเดียวกัน ภาคประชาสังคมที่เดือดร้อน ประเทศไทยก็ไม่ใช่ไปตัดช่องทางการติดต่อจากเขา ไทยมีสถานทูตที่คอยรับเรื่องติดต่อ และองค์กรสิทธิมนุษยชนของไทยก็มีบทบาทตรงนี้ได้ ไม่จำเป็นต้องสวนทางกัน ว่าความสัมพันธ์แบบเป็นทางการ จะต้องติดต่อกับ มิน อ่อง ลาย อย่างเดียว ส่วนภาคประชาชนให้ไปติดต่อแบบแยกขั้ว
เราอาจใช้วิธีการอื่น เช่น รัฐไทยรับฟังเสียงของประชาชนพม่า และผู้นำพม่า ที่คุมอำนาจอย่างเป็นทางการ และหาช่องทางให้เขาได้ไกล่เกลี่ย เจรจา หากพม่าไม่ยินดีไม่เป็นไร แต่เราสามารถเป็นสะพาน เป็นเกตเวย์ เป็นแพลตฟอร์มให้ ก็เท่านั้น เบื้องต้นหากเป็นอย่างนี้ ก็น่าจะจบสวย
แต่เวลานี้ ผมมองว่าเกมการเมืองพม่าไปถึงเรื่องการเมืองมหาอำนาจโลกแล้ว รัฐบาลไทยอาจจะต้องดูนโยบายต่างประเทศ นโยบายขยายแสนยานุภาพทางการเมืองการทหารของสหรัฐ จีน รัสเซีย กองกําลังนาโต้และสหภาพยุโรป เพราะสถานการณ์ในพม่าเริ่มเห็นเค้าลางแบบนั้นแล้ว เราเห็นการเยือน มิน อ่อง ลาย โดยผู้นำระดับสูงของรัสเซีย เรารู้ว่านี่ไม่ใช่วิกฤตภายในประเทศธรรมดา แต่โยงกับการเมืองระหว่างประเทศ การปรากฏตัวของรัสเซียก็น่ากลัว เพราะเมื่อสิบกว่าปีก่อน กองทัพพม่าตั้งกองพันนิวเคลียร์ขึ้นมา ซึ่งกองทัพที่มีระบบหน่วยวิจัยนิวเคลียร์เช่นนี้ คือ เกาหลีเหนือ และรัสเซีย อีกทั้งทหารพม่าก็ถูกส่งไปมอสโก เพื่อไปเรียนรู้เรื่องวิทยาการทำนิวเคลียร์และขีปนาวุธ ยุทธศาสตร์ ย้อนไปดูวันสวนสนามของกองทัพเมียนมา ก็ได้มีจรวด มีขีปนาวุธจากพื้นสู่อากาศ ซึ่งหากตรวจสอบดู อาจจะมีวิสัยการยิง 800 กิโลเมตร หรือมากกว่านั้น
ดังนั้น หากกองทัพพม่าถูกโดดเดี่ยว ถูกกดดันมากเข้า จะผลักให้เขาไปหารัสเซีย จีน เกาหลีเหนือ ซึ่ง มิน อ่อง ลาย พยายามให้ประเทศพม่าเป็นมหาอำนาจทางการทหาร เพื่อป้องกันการถูกรุกราน เพราะจะไปกันใหญ่ จะกลายเป็นการพัฒนาขีปนาวุธยุทธศาสตร์ กระทั่งเทคโนโลยีของอาวุธนิวเคลียร์ รัฐไทยต้องมองตรงนี้ให้ละเอียด และมีข้อเตือนใจว่า เกมในพม่า เป็นเรื่องยุทธศาสตร์ความมั่นคงระหว่างประเทศไปแล้ว