ที่เห็นและเป็นไป : จังหวะก้าวของ‘จาตุรนต์’ โดย สุชาติ ศรีสุวรรณ

การเคลื่อนไหวของเยาวชนคนรุ่นใหม่แม้จะเข้มข้นอย่างมาก แต่การเผชิญกับการควบคุมของอำนาจรัฐกลับสะท้อนให้เห็นถึงการต่อสู้ที่ว้าเหว่อย่างยิ่ง

บ่อยครั้งที่เด็กๆ เรียกหาแรงหนุนเสริมจากผู้ใหญ่ โดยเฉพาะนักการเมืองซึ่งถือว่ามีภูมิคุ้มกันมากกว่าคนทั่วไป

แต่นอกจากพรรคก้าวไกลที่เปลี่ยนร่างมาจากพรรคอนาคตใหม่ที่เผชิญชะตากรรมถูกยุบ และกรรมการบริหารถูกตัดสิทธิทางการเมืองกันระเนนระนาดแล้ว

แทบไม่มีใครอื่นยื่นมือ เปิดหัวใจแผ่ความอบอุ่นเจือจานไม่ให้ว้าเหว่เกินไปกับเยาวชนรุ่นลูก รุ่นหลานเหล่านั้นสักกี่คน

Advertisement

กระทั่งวันนี้ มีความชัดเจนแล้ว มีนักการเมืองที่ออกมายืนแถวหน้าเพื่อเป็นผนังให้คนหนุ่มคนสาว เด็กน้อยได้พิงเพื่อต่อสู้ขอคืนความหวังในโอกาสที่จะสร้างอนาคตที่ดีงาม

จาตุรนต์ ฉายแสง

วันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา ใน “facebook” ชื่อ “Chaturon Chaisang” มีข้อความว่า

Advertisement

วันนี้จะมีการเปิดตัวกลุ่ม OctDem หรือกลุ่มคนเดือนตุลา และจะมีกิจกรรมแรกคือการเดินไปยื่นหนังสือต่อประธานศาลฎีกาเพื่อเรียกหาหลักนิติธรรม

ขอเล่าที่มาที่ไปสักหน่อยครับ

“ก็หารือกันว่าเรามีประสบการณ์ในการเป็นผู้เห็นต่างที่ถูกกระทำอย่างโหดร้ายจนกลายเป็นความขัดแย้งแตกแยกและความสูญเสียครั้งใหญ่ วิกฤตในครั้งนั้นไม่ได้คลี่คลายไป ด้วยการทำลายล้างผู้เห็นต่างให้หมดสิ้น แต่เป็นเพราะการเปิดโอกาสให้ผู้ที่เห็นต่างกันสามารถอยู่ร่วมกันในสังคมได้

เมื่อเห็นนักศึกษาเยาวชนที่เคลื่อนไหวอยู่ในขณะนี้กำลังถูกคุกคามทำร้ายและไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงคิดกันว่าเราควรจะใช้ประสบการณ์และบทเรียนทางประวัติศาสตร์ให้เป็นประโยชน์ ไม่ให้สังคมต้องแตกแยกและสูญเสียเหมือนในอดีต

เฉพาะหน้าที่เราต้องทำก่อนก็คือการส่งเสียงให้ผู้มีอำนาจหยุดการคุกคามทำร้ายนักศึกษาเยาวชน หยุดการบังคับใช้กฎหมายอย่างไม่ยุติธรรมและหันมายึดหลักนิติธรรมอย่างอารยประเทศ

เรื่องที่เป็นรูปธรรมเร่งด่วนที่สุดคือการเรียกร้องให้ประกันตัวนักศึกษาเยาวชนที่ถูกดำเนินคดีอยู่เพื่อให้พวกเขาได้มีโอกาสสู้คดีอย่างยุติธรรม หลังจากนั้นก็คงต้องมาคิดกันต่อไปว่าจะทำอะไรได้อีกบ้างตามวัตถุประสงค์ของการตั้งกลุ่มขึ้นมา

อยากจะย้ำว่าผู้มีอำนาจจะโหดเหี้ยมกับเยาวชนนักเรียนนักศึกษาอย่างที่เป็นอยู่นี้ไม่ได้ ความยุติธรรมต้องมี หากไร้หลักนิติธรรมอย่างที่ทำกันอยู่ ก็มีแต่จะสูญเสียกันทุกฝ่ายทั้งประเทศ

และเมื่อย้อนไปก่อนหน้านั้น วันที่ 30 มีนาคม 2564 มีโพสต์ใน Chaturon Chaisang

เช้านี้ผมมีโอกาสมาให้ความเห็นต่อทูตของหลายประเทศ อาทิ สวีเดน โปแลนด์ เดนมาร์ก ลักเซมเบิร์ก และบราซิล รวมถึงเจ้าหน้าที่ประจำสถานทูตทั้งประเทศในโซนยุโรป เอเชีย และสหรัฐอเมริกา รวมทั้งสื่อต่างประเทศบางสำนักเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยของกลุ่มเยาวชน

ซึ่งถือเป็นครั้งที่ 2 ที่ผมมาร่วมพูดคุย หลังจากที่การชุมนุมมีมาอย่างเข้มข้นตั้งแต่ปลายปี 2563 และต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โดยในครั้งนี้สิ่งที่ต่างประเทศจับตามองและเป็นห่วงอย่างมากคือการคุกคามของรัฐที่ตอบโต้กลุ่มผู้ชุมนุมโดยไม่คำนึงถึงหลักนิติธรรม

ผมสะท้อนให้เห็นว่าสิ่งที่รัฐทำผิดพลาดคือการปฏิบัติกับผู้ชุมนุมโดยมีการจับกุมและคุมขังโดยที่ยังไม่มีการพิสูจน์ว่าพวกเขาผิดจริง และต่อมาศาลกลับไม่ยอมให้พวกเขาประกันตัวออกมาสู้คดีอย่างไม่มีเหตุผล ซึ่งเป็นการทำผิดกฎหมายและขัดต่อรัฐธรรมนูญ ไม่นับรวมวิธีการจับกุมที่กระทำอย่างเกินกว่าเหตุ ทั้งๆ ที่ผู้ชุมนุมมีสิทธิตามกฎหมายในการชุมนุมเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย

ความผิดพลาดต่อมาคือการคว่ำร่างรัฐธรรมนูญเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาโดยรัฐสภา ถือเป็นการตัดช่องทางที่จะทำให้ผู้คนที่เห็นต่างได้มานั่งพูดคุยหรือถกเถียงกันอย่างสันติ

การคว่ำร่างรัฐธรรมนูญยังทำให้แม้การชุมนุมจะกดดันให้นายกรัฐมนตรีต้องลาออก และมีการเลือกตั้งใหม่ แต่รัฐธรรมนูญก็จะเอื้อให้รัฐบาลชุดเดิมกลับมา ซึ่งไม่เพียงความขัดแย้งจะยังคงอยู่ แต่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ต้องการการฟื้นฟูโดยแผนฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพก็จะไม่เกิดขึ้น เพราะความล้มเหลวของการบริหารของรัฐบาลปัจจุบัน

ส่วนการเคลื่อนไหวของเยาวชนที่ได้รับการสนับสนุนมากในช่วงก่อนหน้านี้เป็นเพราะรวมประเด็นและข้อเรียกร้องที่ตรงกับความสนใจของคนจำนวนมากในสังคม จุดหักเหเกิดจากการที่เน้นบางประเด็นซึ่งแหลมคมและกลบประเด็นอื่น ประกอบกับทางเจ้าหน้าที่รัฐใช้มาตรการเข้มที่ไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม แต่ทั้งนี้ปัญหาใหญ่ๆ ของประเทศทั้งความล้มเหลวของรัฐบาลและการคว่ำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ยังเป็นเรื่องที่ประชาชนต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ถ้ามีการบริหารจัดการให้ฝ่ายต่างๆ นำเสนอประเด็นที่สนใจและมีการประสานเสียงและร่วมมือกัน การเคลื่อนไหวของเยาวชนและประชาชนก็ยังมีโอกาสฟื้นกลับมาเข้มแข็งได้อีก

นั่นคือการแสดงให้เห็นว่าการขับเคลื่อนเพื่อเสริมพลังให้กับเยาวชนให้อย่างน้อยไม่รู้สึกว้าเหว่เกินไป ไม่ใช่เพียงแต่พูดเท่านั้น

แต่ยังมีการลงมือปฏิบัติ

เป็นภาคปฏิบัติที่หวังให้เกิดการดูแลเด็กๆ จริง ไม่ใช่แค่สร้างภาพที่ไม่มีน้ำหนักให้เกิดการทบทวนการใช้อำนาจเหมือนที่ผ่านมา

จึงน่าติดตามว่านับจากนี้จะเป็นผลอย่างไรต่อชะตากรรมของเด็กๆ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image