ที่มา | คอลัมน์ ดุลยภาพ ดุลยพินิจ มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | ผาสุก พงษ์ไพจิตร |
เผยแพร่ |
เมื่อข้าพเจ้าเริ่มศึกษาเรื่องความไม่เท่าเทียมนั้น ได้เชิญศาสตราจารย์เบเนดิกท์ แอนเดอร์สัน หรือที่เรียกติดปากกันว่า “อาจารย์เบน” หรือ “ครูเบน” มาบรรยายให้คณะนักวิจัยในทีมฟัง ท่านมีมุมมองที่น่าสนใจจึงจะนำมาเล่าสู่กันฟัง และเพื่อเป็นการรำลึกถึงท่านที่เพิ่งจากไปอย่างสงบเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2558 นี้
อ.เบนเป็นนักสังคมศาสตร์คนสำคัญของโลก มีผลงานเด่นเกี่ยวกับอินโดนีเซีย มีผลงานชิ้นสำคัญที่พิมพ์ทั่วโลกกว่า 30 ภาษา คือ หนังสือ Imagined communities: reflections on the origin and spread of nationalism. (ฉบับภาษาไทยชื่อ ชุมชนจินตกรรม บทสะท้อนว่าด้วยกำเนิดและการแพร่ขยายของชาตินิยม) และยังมีงานเขียนที่วิเคราะห์วิพากษ์การเมืองวัฒนธรรมไทยในมุมมองใหม่ๆ ที่น่าสนใจ อีกทั้งงานแปลรวมเรื่องสั้นไทยชิ้นสำคัญ ในหนังสือชื่อ In the mirror: literature and politics in Siam in the American era และงานอื่นๆ อีกมากมาย ข้าพเจ้าใคร่สดุดีความเป็นนักวิชาการ ความเป็นครู และความเป็นเพื่อนที่ดีของท่าน การจากไปอย่างกะทันหันในวัยยังไม่ถึง 80 เป็นเรื่องน่าเสียดายมาก ดังที่ อ.เกษียร เตชะพีระ ได้กล่าวว่า “เป็นเรื่องที่ผมเสียใจอย่างสุดซึ้งและเป็นความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงของวงวิชาการศึกษาไทย”
ในเรื่องความไม่เท่าเทียม อ.เบนให้ความสนใจกับมิติการเมือง วัฒนธรรม คือ “การพินิจพิเคราะห์ การต่อสู้ทาง ‘การเมือง’ ในฐานะที่เป็นพื้นที่ของการช่วงชิงการครองอำนาจนำ (hegemony)” (ประจักษ์ ก้องกีรติ การเมืองวัฒนธรรมไทย ฟ้าเดียวกัน พิมพ์ พ.ศ.2558)
อาจารย์บอกว่า “คนจำนวนมากรวมทั้งนักเศรษฐศาสตร์คิดว่าความไม่เท่าเทียมเป็นผลหรือเป็นภาวะที่เกิดจากกระบวนการทางสังคม เช่น การแข่งขันทำธุรกิจ นี่เป็นวิธีคิดผิดๆ ความไม่เท่าเทียมเป็นกระบวนการที่รุนแรงก้าวร้าว และยังเป็นเป้าหมายของสังคมร่วมสมัยส่วนมากเสียอีกด้วย ความไม่เท่าเทียมสะท้อนความกระหายอยากได้การยอมรับจากสังคม การได้รับความยกย่อง และการทำให้คนอื่นสยบยอมตามและเชื่อฟัง ซึ่งอีกด้านหนึ่งของเหรียญเดียวกันนี้ก็คือ ความน่าดูถูก ความอดสู และการลดค่าตนเอง”
อีกนัยหนึ่งมนุษย์กระหายความไม่เท่าเทียมและคงมันไว้ เพื่อให้ตนเองมีอำนาจเหนือกว่าคนอื่นๆ
อ.เบนวิเคราะห์ให้ฟังว่า “ความกระหาย” นี้ สำแดงออกมาในรูปแบบของความรุนแรงแบบโต้งๆ ในสมัยโบราณเห็นได้จากการชนะสงครามแล้วสยบคนเป็นทาส หรืออ้างอิงว่าสืบสายเลือดที่พิเศษกว่าคนอื่นใด และใช้ความเชื่อในลัทธิบุตรแห่งสวรรค์ หรือลัทธิเทวราชา สยบให้คนอื่นเชื่อถือและยอมตาม แล้วก็ประสบความสำเร็จอย่างมากเป็นเวลานาน จนกระทั่งกำเนิดคำขวัญ “ความเท่าเทียม เสรีภาพ และภราดรภาพ” ขึ้นเมื่อ 220 กว่าปีที่ผ่านมา
บังเกิด ‘ความไม่เท่าเทียม’ ได้สร้างความกลัวอย่างเหลือหลาย และได้นำไปสู่กระบวนการทำให้ความไม่เท่าเทียมยังคงอยู่ต่อไป
อ.เบนได้เสนอหัวข้อต่างๆ ในมิติด้านการเมือง วัฒนธรรม ของความไม่เท่าเทียมที่ควรมีการศึกษาในกรณีของไทย อาจารย์เสนอหลายเรื่องแต่จะขอกล่าวถึง 2 เรื่องในที่นี้ ได้แก่ หนึ่ง การศึกษาเรื่อง title หรือคำนำหน้าชื่อ หลัง 2475 ไม่มีการให้ราชทินนามใหม่กับชายไทยใดๆ เลย แต่ทำไมผู้หญิงจึงยังมีโอกาสได้คำนำหน้าเป็น “ท่านผู้หญิง” “คุณหญิง” คำถามวิจัยคือ ทำไมผู้หญิงได้คำนำหน้า แต่ผู้ชายไม่ได้
เรื่องที่ 2 ที่ อ.เบนเสนอให้ทำ คือ ให้นักภาษาศาสตร์ศึกษาการใช้สรรพนาม หรือคำที่เรียกแทนคำนามต่างๆ ในสังคมเมืองใหญ่ เป็นคำที่มีระดับของสถานภาพทางสังคมติดอยู่ด้วย อาจารย์บอกว่า ผู้หญิงจะได้รับผลกระทบมาก เพราะมักถูกเรียกว่า “หนู” หรือ “น้อง” เสมอๆ ซึ่งหลายๆ ครั้งผู้พูดอาจจะอายุน้อยกว่าหรือมีวุฒิภาวะด้อยกว่าผู้ถูกเรียกด้วยซ้ำไป
สรรพนามที่สำแดงความเป็นกันเอง แต่ผู้ฟังไม่อาจใช้กับผู้พูดได้ก็มีให้เห็นบ่อย ที่สำแดงระดับความไม่เท่าเทียม เช่น ตำรวจ ใช้คำอั๊วลื้อกับคนขี่จักรยานยนต์ แต่ถ้าถูกเรียกกลับอาจจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
อ.เบนเสนอให้นักภาษาศาสตร์ศึกษาที่มาของคำที่มีนัยลดค่า หรือเชิงดูถูกแฝงฝังอยู่ในภาษา ว่าเกิดมาได้อย่างไร เพราะอะไร ทำไมยังคงอยู่แม้บริบทสังคมจะเปลี่ยนไปแล้ว ให้ศึกษาเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านด้วยว่าต่างกันไหม อย่างไร
โครงการที่ 3 เป็นเรื่อง “แจ๋ว” อาจารย์สงสัยว่าทำไมแม่บ้านยังต้องมีคนรับใช้ แม้ว่าขณะนี้เราจะมีเครื่องทุ่นแรงต่างๆ มากมาย อ.เบนเล่าว่า แม่บ้านมักจะบ่นว่าคนรับใช้ขี้เกียจทำงาน ไม่ได้เรื่อง และยั่วยวนสามีของพวกเธอ อ.เบนคิดว่า แม่บ้านอยากมีคนรับใช้เพราะว่าเอาอย่างวัฒนธรรมชนชั้นสูงนั่นเอง
แล้วอาจารย์ก็หันมาวิเคราะห์ตัวเอง โดยเล่าว่า เพื่อนที่เป็นสตรีนิยมวิจารณ์ว่าเขาไม่เห็นใจผู้หญิงเสียเลย แม่บ้านเนี่ยอยากมีคนรับใช้ จะได้ไม่ต้องเป็นคนใช้ของสามีตะหาก
ในภาวะที่สังคมไทยร่วมสมัย มีความพิลึกพิลั่นสูง มีสตรีนิยม ซึ่งเป็นแนวคิดสังคมหลังความสมัยใหม่ แต่ไม่มีความเป็นสมัยใหม่ เช่น ทุนนิยมอุตสาหกรรม จึงเกิดพันธมิตรแบบพิลึกพิลั่น เช่น สตรีนิยมกับสิ่งที่เหลือจากสังคมก่อนสมัยใหม่
อ.เบนบอกว่า เพื่อนสตรีนิยมพูดถูกต้องแล้ว และนี่เป็นเหตุผลที่ต้องศึกษาความย้อนแย้งที่เกิดขึ้น
คณะวิจัยรับฟังการบรรยายด้วยความตื่นตาตื่นใจ แต่ในท้ายที่สุดไม่มีใครรับคำแนะนำของ อ.เบนเลย บอกว่าทำยาก ซึ่งน่าเสียดายมาก อ.ผาสุกอาจจะต้องทำโครงการวิจัยเรื่องความไม่เท่าเทียมภาค 2