บทนำ : ยิ่งนานยิ่งเสี่ยง

นพ.เรวัต วิศรุตเวช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย เผยแพร่ข้อความผ่านโซเชียลมีเดียว่า การระบาดระลอกที่ 3 เป็นสายพันธุ์อังกฤษ B 117 แพร่ได้ง่ายกว่า 1.7 เท่า ทำให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมากกว่าระลอก 1 และ 2 มาก ถ้าจำนวนผู้ติดเชื้อยังเพิ่มสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เช่นนี้ ภาพที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ 1.ระบบสาธารณสุขไทยจะล่ม เตียงและบุคลากรไม่สามารถรองรับไหวจนต้องยอมปล่อยให้คนไข้หนักไม่ได้รับการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพเพราะไม่มีเตียงใน ICU ผู้ป่วยหนักโรคอื่นๆ แม้ไม่ใช่โควิด เช่น โรคหัวใจ อุบัติเหตุฯ จะเสี่ยงต่อการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นด้วย 2.ถ้าสถานการณ์เลวร้ายมากกว่าข้อ 1 ไม่เพียงแต่ผู้ป่วยหนักทั้งโควิด หรือโรคอื่นๆ ที่นอกจากจะไม่ได้รับการรักษาใน ICU แล้ว อาจต้องถูกทอดทิ้งโดยไม่สามารถแม้เพียงขอเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลได้เลย อาจถูกปล่อยให้เสียชีวิตอยู่ที่บ้าน หรือหน้าโรงพยาบาล หรือตามท้องถนนดังที่เคยเกิดขึ้นในหลายประเทศมาแล้ว

นพ.เรวัต ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการแพทย์ และรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ชี้ว่า คำตอบที่จะหยุดยั้งไม่ให้เกิดเหตุการณ์ตามข้อ 1 และ 2 คือวัคซีน ถ้ามีการฉีดวัคซีนให้ประชาชนมากพอในเวลาที่รวดเร็ว จำนวนคนติดเชื้อ ป่วยหนักและตายจะลดลงเหมือนสหรัฐอเมริกา ในจำนวนผู้ติดเชื้อ 100 คน ประมาณ 20 คน มีอาการป่วยที่ควรต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาล ประมาณ 5 คน ป่วยหนักต้องเข้า ICU ประมาณ 2.5 คน เสียชีวิต ถ้ามีผู้ติดเชื้อ 50,000 คน ต้องเข้าโรงพยาบาล 10,000 คน และต้องเข้า ICU 2,500 คน รัฐบาลต้องจัดหาวัคซีนฉีดให้กับประชาชนอย่างน้อยประมาณ 70%-80% ของประชากรโดยเร็วที่สุดเพื่อให้ประชาชนปลอดภัย อีกทั้งผู้ป่วยโควิดและโรคอื่นๆ ได้รับการดูแลรักษาอย่างมีมาตรฐาน

ขณะนี้หลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นวงการแพทย์ ภาคการเมือง ภาคธุรกิจ และประชาชน ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งจัดหาวัคซีนและเกิดการตอบโต้ระหว่างฝ่ายที่เห็นว่ารัฐดำเนินการอยู่แล้ว กับฝ่ายที่เห็นในทางตรงกันข้าม แม้แต่นายธนินท์ เจียรวนนท์ นักธุรกิจใหญ่ ก็ยังเรียกร้องให้รัฐบาลอำนวยความสะดวกให้ภาคเอกชน นำวัคซีนเข้ามาเพื่อช่วยภาครัฐอีกทางหนึ่ง สถานการณ์ตอนนี้จึงถึงเวลาของการจัดซื้อวัคซีนและฉีดวัคซีนให้ประชาชนอย่างจริงจัง ไม่เช่นนั้นภาพของระบบล้มเหลวที่ นพ.เรวัตได้เตือนไว้ เกิดขึ้นมาจริงๆ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image