“นิพิฏฐ์” ชี้ ญี่ปุ่นโมเดลทำนักการเมืองยังบลัดเสียเปรียบคนรุ่นเก๋า ย้ำรูปแบบประชามติ รัฐสื่อสารทางเดียว ต่างจากระบบเลือกตั้ง
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปีตย์ กล่าวถึงข้อเสนอการหาเสียงเลือกตั้งแบบญี่ปุ่นโมเดล ของนายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ว่าตนรับได้หมดทุกรูปแบบทั้งการเลือกตั้งแบบอเมริกา เยอรมนี หรือญี่ปุ่น แต่การที่เราจะเอาโมเดลอะไรมาก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องดูบริบทการเมืองของประเทศไทยด้วย เพราะระบอบประชาธิปไตยของไทยต่างกับประเทศอื่นๆ ถ้าเราจะเอารูปแบบการหาเสียงแบบญี่ปุ่นมา จะต้องปรับแก้ระบบอีกหลายอย่างให้สอดคล้อง
“ในฐานะที่ผมเป็นนักการเมืองเก่าของพรรคใหญ่ เห็นว่าการหาเสียงเลือกตั้งแบบญี่ปุ่นที่จะให้งดเวทีปราศรัย นักการเมืองหน้าใหม่จะเสียเปรียบ แต่นักการเมืองหน้าเก่าจะไม่มีปัญหา เพราะถ้าเรารณรงค์หาเสียงไม่ได้ แต่จะใช้วิธีให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ส่งรูปและประวัติผู้สมัครไปตามครัวเรือนต่างๆ แบบนี้นักการเมืองเก่าคงไม่มีปัญหา เพราะคนในพื้นที่จะคุ้นหน้าคุ้นตากันอยู่แล้ว แต่นักการเมืองที่เข้ามาใหม่ ใครจะรู้จัก ถามว่าแบบนี้ประชาชนจะเลือกหรือไม่ อยากให้ลองคิดดู ด้วยเหตุนี้ พรรคการเมืองจึงต้องมีเวทีปราศรัย เพื่อเป็นพื้นที่ให้กับนักการเมืองรุ่นใหม่ ได้แนะนำตัว ประวัติ วิสัยทัศน์ การทำงาน แต่ถ้าท่านจะห้ามปราศรัย ผมคนรุ่นเก่าไม่มีปัญหาแน่นอน” นายนิพิฏฐ์กล่าว
เมื่อถามว่า นายไพบูลย์ยังมีการเสนอให้ถอดบทเรียนจากการทำประชามติ เพื่อเป็นรูปแบบการเลือกตั้งครั้งหน้าอีกด้วย นายนิพิฏฐ์กล่าวว่า รูปแบบการทำประชามติที่ผ่านมา เป็นการสื่อสารทางเดียว คือ รัฐ ผู้มีอำนาจดำเนินการสื่อสาร ใครที่เห็นต่างก็ถูกดำเนินคดีหมด แต่คนที่เห็นด้วย กลับพูดได้ทุกอย่าง ตนอยากให้มองว่า กระบวนการทำประชามติแตกต่างจากการหาเสียงเลือกตั้ง เพราะการเลือกตั้ง ผู้เล่นคือนักการเมือง ถ้าไม่มีการหาเสียง ปราศรัย ชาวบ้านจะตรวจสอบลำบาก นักการเมืองเปรียบเสมือนคนที่จะต้องแก้ผ้าต่อหน้าประชาชน ต้องเปิดทุกอย่างให้หมดเปลือก ตั้งแต่วันปราศรัยหาเสียงในพื้นที่ของตัวเองแล้ว