เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม สืบเนื่องกรณีปรากฏการณ์เข้ากรุ๊ปเฟซบุ๊ก “ย้ายประเทศกันเถอะ” ซึ่งล่าสุดมีสมาชิกเกือบ 5 แสนราย
ศาสตราจารย์ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวว่า ครั้งหนึ่งตนก็เคยมีความคิดที่จะย้ายประเทศเช่นกัน โดยสืบเนื่องจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 และถึงขนาดเคยคิดว่าจะเลิกพูดภาษาไทย
“เพราะอาชญากรรมรัฐไทย ของชนชั้นปกครองไทย ที่กระทำต่อ อ.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ต่อ นักเรียน นิสิต นักศึกษา และราษฎร 6 ตุลา 2519 ผมหลบ ๆ อยู่บ้านยาย ที่ปากน้ำ 3 เดือน ทำเรื่องขอลาไปต่างประเทศ ได้ไปญี่ปุ่น ดร.ประเสริฐ ณ นคร ปลัดทบวงฯ ลงนามอนุมัติให้ผมออกไป ผมไปขึ้นเครื่องที่ดอนเมือง
จำได้ว่า ที่นั่นเปิดเพลงสุดท้ายที่ผมได้ยิน คือ หนักแผ่นดิน เมื่อเครื่องเหาะขึ้นอากาศ
ผมมองลงมา และพูดในใจว่า ลาก่อน ผมตั้งใจว่าจะไม่กลับมาอีก และคิดว่าจะเลิกพูดภาษาไทย
ผมไปอยู่ ม.เกียวโต 1 ปีเต็ม ๆ ปี 2520 ผมได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ ความคิดใหม่ ๆ ปีนั้นเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ทำรัฐประหารล้มรัฐบาลธาณินทร์ กรัยวิเชียร
ผมเลยเปลี่ยนใจกลับมาค ในช่วงปี 2521-2522 มีความเปลี่ยนแปลงที่สร้างความหวังใหม่ ๆ โดยเฉพาะสมัยรัฐบาลเปรม สมัย ผบ.ทบ.อย่างชวลิต ยงใจยุทธ
สิ้นสุดสงครามเย็น จีนแดงกลายเป็นมหามิตร ภายใน มีท่าทีว่าจะประนีประนอมกันได้ เช่นนโยบาย 66/23
ประเทศไทยดูมีความหวัง ทั้งศ.กิจ ทั้งการเมือง ทำท่าจะไปรอด และอาจโชติช่วงชัชวาล
แน่นอน ฝัน ความหวังของเราสลายไปด้วยรัฐประหาร ของบิ๊ก ๆ อย่างสุนทร-สุจินดา
และพฤษภาเลือด 2535 แล้วยังถูกซ้ำเติมด้วยการเมืองทราม
รัฐประหารน้ำเน่า ในปี 2549 และ 2557
ผมยังทำงานต่อใน มธ. ทั้งเรื่องวิชาการ ทั้งเรื่องจิตวิญญานธรรมศาสตร์ ทั้งเรื่องท่านปรีดี อ.ป๋วย
ผมเลิกคิดเรื่อง ย้ายประเทศ เพียงแต่ชอบไปต่างประเทศบ่อย ๆ ตอนนี้ก็แก่เกิน ‘ย้าย’ แล้วครับ
อยู่ช่วยเด็ก ๆ ช่วยคนรุ่นใหม่ ๆ ดีกว่า ผมตั้งความหวังว่าจะรอดโรคห่าโควิดไปให้จงได้
เชื่อไหมเมื่อโรคห่ากาฬโรค ลงกินบ้านกินเมืองเมื่อ 670 ปีมาแล้ว
พระเจ้าอู่ทอง พาไพร่พลหนีโรคห่ามาได้ แล้วก็สถาปนาสังคมใหม่ขึ้น ณ กรุงศรีอยุธยา พ.ศ. 1893″ ศาสตราจารย์ ดร.ชาญวิทย์กล่าว