ปัดฝุ่น”โมเดล” “พรรคทหาร” ในการเมืองไทย

ประเด็นพรรคทหาร กำลังเป็นกระเเสที่ถูกพูดถึงอย่างมาก หลัง ไพบูลย์ นิติตะวัน สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) และอดีตกลุ่ม 40 ส.ว.ประกาศตั้งพรรคการเมืองสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นนายกฯคนนอก

ขณะที่ สมพงษ์ สระกวี คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ออกมาพูดถึงความเป็นไปได้ที่นายกฯจะตั้งพรรคการเมือง เนื่องจากระยะหลังมีกลุ่มเพื่อนนายกฯมาสอบถามความเห็นเรื่องทหารตั้งพรรคการเมืองว่า จะทำอย่างไรไม่ให้เป็นแบบเก่า

กลัวว่าจะไปไม่รอดเหมือนทหารที่ออกมาตั้งพรรคการเมืองในอดีต

ตามประวัติศาสตร์การเมือง เส้นทางของพรรคทหารที่ลงสู้ตามกระบวนการประชาธิปไตย ด้วยการตั้งพรรคการเมืองเเล้วลงเลือกตั้ง เกิดขึ้นหลายครั้ง ชำนาญ จันทร์เรือง นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ เล่าย้อนตั้งพรรคการเมืองทหารพรรคแรกของไทย ที่มีชื่อว่า “พรรคเสรีมนังคศิลา”

ชำนาญเล่าว่า หลังการรัฐประหารปี 2490 จอมพล ป.พิบูลสงคราม ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี มีการตั้งพรรคขึ้นมารองรับคือ “พรรคเสรีมนังคศิลา” มี พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจสมัยนั้น เเละ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็น

เหมือนมือซ้ายมือขวาคอยช่วย จนเมื่อมีการเลือกตั้งในปี 2500 ขึ้น ปรากฏว่าชนะ เเต่เกิดการทุจริตเลือกตั้งอย่างมาก จนเกิดการประท้วงของนิสิตนักศึกษา จอมพลสฤษดิ์ได้ออกมาประกาศรับผิดชอบเเต่เพียงผู้เดียว ทำการยึดอำนาจเเต่ไม่เป็นนายกฯเอง มอบให้ พล.ท.ถนอม กิตติขจร ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ต่อมาก็มีรัฐประหาร เเต่ใช้ชื่อเรียกว่า การปฏิวัติ โดยจอมพลสฤษดิ์เป็นนายกรัฐมนตรี

หลังรัฐประหารปี 2501 บทบาทของพรรคเสรีมนังคศิลาได้สิ้นสุดลงและถูกยกเลิกไป

ADVERTISMENT

ชำนาญเล่าต่อว่า ขณะนั้นมีการใช้รัฐธรรมนูญปกครองแผ่นดิน พ.ศ.2502 มีมาตรา 17 หรือมาตรา 44 ในปัจจุบัน เเต่ ม.17 สามารถยิงเป้าประหารชีวิตได้ ต่อมา เมื่อจอมพลสฤษดิ์ถึงแก่อสัญกรรม จอมพลถนอมขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ยาวนานมากใช้เวลา 9 ปีครึ่ง เเละมีการเลือกตั้ง โดยจอมพลถนอมได้ตั้ง “พรรคสหประชาไทย” ขึ้น มี จอมพล ประภาส จารุเสถียร เเละ พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร กุมอำนาจ แต่เมื่อมีการประชุมสภา มีการอภิปราย เจอพรรคการเมืองไทยที่มีฝีปากร้ายก็ทนไม่ไหว จึงทำการรัฐประหารตัวเองเมื่อพฤศจิกายน 2514 ต่อมาเกิดกระบวนการเรียกร้องให้คืนอำนาจ มีกลุ่มนักวิชาการ 99 คนออกมาลงชื่อเรียกร้อง มีการตามจับนักศึกษาเเละนักการเมืองที่ออกมาเคลื่อนไหว อาทิ ธีรยุทธ บุญมี, ไขแสง สุกใส เเละอีกหลายคน จนนำมาสู่เหตุการณ์ 14 ตุลา 2516

“ตอนนั้นมีการเผาสถานีวิทยุ เผากองสลาก เผาสถานีตำรวจนครบาล ผมอยู่ในเหตุการณ์ที่ราชดำเนินพอดี มีการใช้เฮลิคอปเตอร์ยิงลงมา มีคนตายจำนวนมาก ว่ากันว่าเป็นฝีมือของ พ.อ.ณรงค์ เเต่ก็ไม่มีใครยืนยันชัดเจน สุดท้ายทั้ง 3 คนก็หนีออกนอกประเทศ เเละมีการตั้งรัฐบาล โดย สัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี

ต่อมา จอมพลถนอม, จอมพลประภาส เเละ พ.อ.ณรงค์ก็กลับเข้าประเทศ ด้วยการบวชเป็นสามเณร เเต่เกิดการชุมนุมต่อต้านโดยประชาชนเเละนักศึกษา รัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ในขณะนั้นไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ เป็นเหตุให้ พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ก่อรัฐประหารและทำการล้อมปราบนักศึกษาประชาชนในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519″

ชำนาญเล่าอีกว่า การยึดอำนาจของ พล.ร.อ.สงัด มีการกวาดล้างจับนักศึกษา คนที่หนีทันก็เข้าป่า เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์เเห่งประเทศไทยบ้าง คนที่หนีไม่ทันก็ถูกจับขึ้นศาลทหาร ตอนนั้นมีองค์การนิรโทษกรรมสากลเข้ามาเรียกร้องเรื่องสิทธิต่างๆ จนมีการออก พ.ร.ก.นิรโทษกรรม นายธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรีขณะนั้น มีแผนปฏิรูปประเทศเเบ่งเป็น 3 ช่วง ช่วงละ 4 ปี รวมทั้งสิ้น 12 ปี ปรากฏว่า เกิดการต่อต้านกว้างขวางขึ้นเรื่อยๆ ปี 2520 พล.ร.อ.สงัดทำการยึดอำนาจอีกครั้ง โดย พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ก่อนจะเกิดวิกฤตน้ำมัน มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในที่สุด พล.อ.เกรียงศักดิ์ตัดสินใจลาออก

“นายกฯไทยที่ลาออกกลางสภามีน้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นการยุบสภามากกว่า เมื่อ พล.อ.เกรียงศักดิ์ลาออก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตอนนั้น พล.อ.เปรมเป็นผู้บัญชาการทหารบก ถือเป็นข้าราชการประจำ ไม่ได้มาด้วยวิธีการรัฐประหาร เเละไม่มีการตั้งพรรคการเมืองเอง อาจจะเป็นที่มาที่นักการเมืองหนุนให้ใช้เปรมโมเดล คือ ไม่ได้ตั้งพรรคเอง เเต่มีพรรคอื่นๆ มาสนับสนุน”

ชำนาญเล่าต่อว่า เนื่องจาก พล.อ.เปรมอยู่ในตำเเหน่งนานเข้า เริ่มมีการประท้วง มีความพยายามทำรัฐประหาร คือกบฏยังเติร์ก หรือกบฏเมษาฮาวาย เเต่ไม่สำเร็จ ตอนนั้น พล.อ.เปรมคงประเมินเเล้วว่าผลงานที่สร้างมามั่นคงเเล้ว เป็นต่อก็คงจะไม่รอด เเรงต้านอาจจะเยอะขึ้น เมื่อพรรคชาติไทยได้รับเสียงข้างมากก็เชิญ พล.อ.เปรมเป็นนายกฯอีก

แต่ได้รับคำตอบกลายเป็นวาทะอมตะว่า “ผมพอเเล้ว” แล้ว พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ขึ้นเป็นนายกฯเเทน

“หลังเกิดกระเเสบุฟเฟต์คาบิเนตในรัฐบาลชาติชาย คนเริ่มไม่พอใจ ทหารก็ไม่พอใจ เเละมีข่าวจะปลด พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ เเละ พล.อ.สุจินดา คราประยูร นำไปสู่การตั้งคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ยึดอำนาจการปกครองโดย พล.อ.สุนทร เป็นประธาน สรช. เเต่ก็ไม่ได้ขึ้นเป็นนายกฯเอง โดยธรรมเนียมการรัฐประหารไทยในอดีตที่ผ่านมาจะไม่ขึ้นเป็นนายกฯเอง เพราะกลัวว่าจะเป็นการทำเพื่ออำนาจของตัวเอง เลยตั้ง อานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี”

ชำนาญบอกอีกว่า ในสมัยรัฐบาลนายอานันท์ มีการร่างรัฐธรรมนูญปี 2534 เนื้อหารัฐธรรมนูญไม่ได้บอกว่านายกฯต้องมาจาก ส.ส. เลยมีการตั้งพรรคทหารขึ้นอีกครั้ง คือ “พรรคสามัคคีธรรม” โดย ณรงค์ วงศ์วรรณ เป็นหัวหน้าพรรค แต่ติดปัญหาขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้ พล.อ.สุจินดา เป็นคณะ รสช. ตอนยึดอำนาจใหม่ๆ ปฏิญาณตนว่าจะไม่รับตำเเหน่ง ไม่ต้องการอำนาจใด ออกมาประกาศว่า “จำเป็นต้องรับตำเเหน่ง ยอมเสียสัตย์เพื่อชาติ” รับตำเเหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี นำไปสู่การประท้วงขับไล่ ลุกลามไปสู่เหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ” ในปี 2535 เเละเเก้ไขรัฐธรรมนูญให้นายกรัฐมนตรีมาจาก ส.ส.

ชำนาญวิเคราะห์ว่า “พรรคการเมือง โดยธรรมชาติจะมีวิวัฒนาการการตั้งพรรค คือมีคนร่วมอุดมการณ์ทางการเมืองมารวมกันตั้งพรรค เเต่พรรคทหารที่ผ่านมามองว่าเป็นพรรคที่ตั้งขึ้นเฉพาะกิจ ไม่ได้มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่มีพัฒนาการ มีบทบาทเพื่อช่วยเหลือหรือเป็นตัวเเทนกลุ่มผลประโยชน์ ตัวเเทนประชาชน เป็นเเค่พรรคที่ตั้งขึ้นเฉพาะกิจ ทำให้อยู่ได้ไม่นานก็ต้องไป ที่ผ่านมาก็อยู่ไม่รอดสักราย เลยน่าจะเป็นสาเหตุให้มีการเสนอเปรมโมเดลขึ้น คือไม่ต้องตั้งพรรค เเต่ให้พรรคที่มีอยู่สนับสนุน” นายชำนาญอธิบาย เเละว่า สำหรับการรัฐประหารของ พล.อ.ประยุทธ์ถือว่าเเตกต่างจากที่ผ่านมา เพราะมีการรัฐประหารเเล้วเป็นหัวหน้า คสช. เเละนายกรัฐมนตรีเอง มีท่าทีว่าจะเป็นนายกฯคนนอกด้วย เเต่คิดว่าคงไม่ง่าย

“เพราะถ้าขึ้นมาเป็นนายกฯจะไม่มี ม.44 เป็นเครื่องมือ อีกทั้งจากท่าทีที่ผ่านมาจะเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์มีจุดเดือดต่ำ ต่อไปถ้ามีการอภิปรายโดย ส.ส. ผมมองเเล้วน่าจะยาก คิดว่าลงตอนนี้สวยที่สุดเเล้ว เพราะคะเเนนกำลังดี หลายคนก็ชอบอยู่ นายกฯคนนอกให้เป็นคนอื่นน่าจะดีกว่า” ชำนาญทิ้งท้าย