‘ส.ส.เขตบางแค’ ก้าวไกล ลุยตรวจเชิงรุก ‘ชุมชนบ้านขิง’ ย้ำนี่คือหน้าที่ของรัฐบาล

‘ส.ส.เขตบางแค’ ก้าวไกล ลุยตรวจเชิงรุก นำรถเอกซเรย์ ไปหาประชาชนถึงที่ เผยผลตรวจ ‘ชุมชนบ้านขิง’ พบผู้ติดเชื้อเกิน 67 ราย ย้ำนี่คือหน้าที่ของรัฐบาล

เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หรือ ส.ส.กทม. เขตบางแค พรรคก้าวไกล (ก.ก.) พร้อมทีมงาน ได้เปิดปฏิบัติการปูพรมรุกตรวจเต็มที่ทั้งด้วยศักยภาพส่วนตัวและการเชื่อมต่อประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ที่รับผิดชอบ โดยโพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า

“สิ่งที่เกิดขึ้นจากการเเพร่ระบาดที่คลัสเตอร์ตลาดบางเเค พบว่าประชาชนในพื้นที่เขตบางแคจำนวนมากขาดการดูเเลอำนวยความสะดวกจากภาครัฐ เเละมีระบบสาธารณสุขที่ยังไม่เอื้อต่อการบริการประชาชน เช่น กรณี “ชุมชนบ้านขิง” มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวนมาก ผมกับพี่อำนาจ (อำนาจ ปานเผือก ว่าที่ผู้สมัคร ส.ก.เขตบางเเค) เเละทีมงานจึงนำการตรวจเชิงรุกด้วยวิธี (swab test) ลงไปที่นั่นเพื่ออำนวยความสะดวกพร้อมกับนำรถเอกซเรย์เคลื่อนที่ไปด้วยเพื่อคัดกรองความหนักเบาของอาการตามความเร่งด่วน

“ผลการรุกตรวจทำให้ค้นพบว่ามีประชาชนในพื้นที่ติดเชื้อมากกว่า 67 ราย ซึ่งในการตรวจครั้งนี้ก็คือการนำเงินเดือน ส.ส. ซึ่งก็คือสิ่งที่ได้รับมาจากประชาชนไปดูแลประชาชนในฐานะผู้แทนราษฎร โดยวิธีการตรวจจะเริ่มต้นจากการตรวจวงผู้ที่อยู่ใกล้ผู้ป่วยจำนวน 20 รายเเรกและขยายออกไปเหมือนการสืบค้นโรค เนื่องจากเราต้องค้นหาจากกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงจึงจะจำกัดการระบาดในพื้นที่ได้เร็ว เป็นการนำร่องการตรวจเชิงรุกในพื้นที่บางแคซึ่งเดิมจะตั้งอยู่เฉพาะจุดใหญ่อย่างตามห้าง ทำให้เกิดการกระจุกตัวกันของคนจำนวนมาก ส่วนที่ตรวจเเล้วพบว่าติดเชื้อ เราจะประสานการขอตรวจซ้ำอีกครั้งที่โรงพยาบาล เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าสู่ระบบการรักษาและมีเตียงในการรักษาพยาบาล”

Advertisement

สำหรับชุมชนบ้านขิง ทีมงานของ ส.ส.เท้ง ไม่ได้ลงพื้นตรวจในเชิงรุกเพียงครั้งเดียวแต่ได้ลงไปหลายครั้ง รวมทั้งให้ประชาชนได้เอกซเรย์ปอด ซึ่งคนในพื้นที่ก็ได้มีการเรียกร้องให้เพิ่มการตรวจ แต่เนื่องจากมีงบจำกัด เพราะเป็นงบส่วนตัวร่วมกับทีมงานเท่าที่รวบรวมกันมาได้ จึงต้องออกแบบจัดสรรให้มีศักยภาพที่สุดจึงเน้นไปที่การตรวจกลุ่มที่เสี่ยงสูงเป็นเป้าหมายหลักก่อน

ปัจจุบัน ทีมงานก้าวไกลบางเเค ยังลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ผลจากการปฏิบัติงานจึงสะท้อนออกมาให้เห็นว่า ได้ทำให้เขตบางเเคซึ่งเคยเป็นคลัสเตอร์เสี่ยงสูงมีแนวโน้มการระบาดในพื้นที่ลดลงไปถึงร้อยละ 80 ส่งผลให้สภาพเศรษฐกิจเริ่มพลิกฟื้น และประชาชนเริ่มมีความมั่นใจกลับมาใช้ชีวิตปกติอีกครั้ง จนกระทั่งเกิดการระบาดใหม่ระลอก 3 อันเป็นผลโดยตรงจากความย่อหย่อนของภาครัฐที่ทำให้เกิด “คลัสเตอร์ทองหล่อ” ขึ้น จึงทำให้เศรษฐกิจที่ประชาชนกำลังมีความหวังต้องหยุดชะงักลงอีกครั้ง

Advertisement

สำหรับการชะลอและเฝ้าสถานการณ์ “การรุกตรวจ” จะยังเป็นแนวทางสำคัญที่ต้องดำเนินต่อไป แต่เป็นที่รู้กันดีว่า “กุญแจ” ดอกสำคัญที่จะช่วยให้สถานการณ์ครั้งนี้สิ้นสุดลงได้จริงก็คือการมี “วัคซีน” เท่านั้นและจะต้องเป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพรวมถึงสามารถกระจายไปยังประชาชนอย่างทั่วถึง ซึ่งนั่นก็คือบทบาทหน้าที่โดยตรงที่ “รัฐบาล” จะต้องรับผิดชอบให้ได้ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไปนั่นเอง

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image