ถ้าไม่ตัดกลไกการสืบทอดอำนาจในรัฐธรรมนูญ เราจะตายกันหมดอย่างจริงจัง

แม้จะเรียกว่า “วิกฤต COVID-19” แต่ที่ผ่านมา ถ้าว่ากันตามตรงแล้ว นอกจากปัญหาเศรษฐกิจที่แม้จะหนักหนาเพียงไร เราท่านและผู้คนส่วนใหญ่ก็อาจจะยังไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นวิกฤตในระดับถึงแก่ความเป็นความตายจริงจังอย่างเช่นทุกวันนี้

วันที่จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มขึ้นในหลักพัน ผู้เสียชีวิตในแต่ละวันเป็นหลักสิบ และที่สำคัญคือ ความตายหลายกรณีนั้นมาเยี่ยมเยียนถึงบ้านช่องห้องนอนอย่างรวดเร็วแทบไม่มีเวลาให้เตรียมใจ

ภาพรถพยาบาลและเจ้าหน้าที่ในชุดอวกาศมารับศพผู้คนที่เสียชีวิตที่ถูกหุ้มห่อมิดชิด ที่เราเคยเห็นจากข่าวต่างประเทศเมื่อปีที่แล้วเริ่มมาปรากฏในเขตแคว้นละแวกบ้าน ช่วงอายุของผู้เสียชีวิตก็คาดเดาไม่ได้มากขึ้นว่ากลุ่มไหนที่จะเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อแล้วจะอาการหนัก หรือถึงแก่ชีวิต และไปรับเชื้อนั้นมาได้จากทางไหนอย่างไร

ในวิกฤตที่ลุกลาม ความไร้ประสิทธิภาพของกลไกภาครัฐ และความเห็นแก่ตัว ไม่รับผิดชอบ ไม่แยแสของผู้อยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจ และหน้าที่อันควรจัดการแก้ปัญหานี้ก็ปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

Advertisement

การจัดหาวัคซีนที่ล่าช้า และการปฏิเสธการจัดหาวัคซีนจากผู้ผลิตที่หลากหลายโดยภาคเอกชนอย่างที่หาเหตุผลที่ชอบธรรมน่าเชื่อถือไม่ได้จนเป็นที่ครหาว่าเป็นไป เพื่อล็อกสเปกให้ผู้ผลิตบางรายที่เป็นแหล่งทุน หรือผู้มีบุญคุณคุ้มอำนาจอยู่ แถลงการณ์แบบส่งๆ ของผู้นำประเทศที่แม้แต่ชื่อของวัคซีนยังออกเสียงผิดๆ ถูกๆ อันแสดงให้เห็นถึงความไม่ได้เอาใจใส่อย่างแท้จริง การพูดจาแก้ตัวแบบขอไปที หรือศรีธนญชัยเรียกพี่ของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐแทบทุกระดับ ประเภทว่า “ไม่มีเที่ยวบินเหมาลำจากอินเดีย มีแต่เที่ยวบินปกติที่มีคนอินเดียโดยสารมาเต็มลำเฉยๆ” หรือ “แอพพ์หมอพร้อม” วันนี้ “ยังไม่พร้อม” ก็ลองใหม่พรุ่งนี้สิ

การยื่นจองร้องขอฉีดวัคซีนของประชาชน ซึ่งเป็นความหวังสุดท้ายในการป้องกันชีวิตให้รอด ทำได้ยากพอๆ กับการจองซื้อเครื่องเกมรุ่นใหม่ แต่นี่ไม่ใช่เรื่องของการแย่งกัน เพื่อเอามาเล่นเกมที่ความละเอียด 4K ที่เฟรมเรต 60 FPS แต่มันคือการยื้อโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป โดยไม่ป่วยตายไปจากโรคภัยที่ทั่วโลกเขาสามารถป้องกันกันได้แล้ว หากมีรัฐบาลที่รับผิดชอบต่อประชาชน

แถมทั้งเมื่อการระบาดครั้งใหม่นี้จะชัดเจนว่าเกิดจากมาตรการควบคุมของภาครัฐที่หละหลวม การบังคับใช้กฎหมายควบคุมโรคประกอบกฎหมายพิเศษบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินแบบอำพราง เพื่อผลทางการเมืองจนละเลยการใช้ตามเจตนารมณ์อันแท้จริงจนเกิดการระบาดใหญ่ในคลัสเตอร์สถานบันเทิง และบรรดา VIP ที่ใกล้ชิดกับคนภาครัฐจากเชื้อกลายพันธุ์ปริศนาสายพันธุ์อังกฤษที่ไม่รู้ว่าแพร่ผ่านเข้ามาในประเทศไทยได้อย่างไร

กระนั้น ใน “เอกสารทางการของรัฐ” กลับกล่าวหาประชาชนทั่วไปอย่างหน้าไม่อายไร้ความรับผิดชอบว่าที่เกิดการแพร่ระบาดรุนแรงระลอกนี้นั้นเป็นเพราะ “…ประชาชนส่วนใหญ่มีความผ่อนคลายกับสถานการณ์การควบคุมโรคที่ดีขึ้นในห้วงเวลาที่ผ่านมา ไม่ค่อยระมัดระวังป้องกันตัวอย่างในช่วงต้นของการระบาด จึงทำให้โรคแพร่กระจายไปในทุกพื้นที่ทั่วราชอาณาจักร…”

นับเป็นรัฐบาลและกลไกมือไม้ภาคราชการที่เหยียดหยามทำให้ประชาชนรู้สึกต่ำต้อยด้อยศักดิ์ศรีที่สุดในประวัติศาสตร์ที่เคยมีมา แม้ว่าในยุคที่เป็นเผด็จการยิ่งกว่านี้ในอดีตก็ยังไม่เคยมียุคไหนที่รัฐจะใจร้ายป้ายความผิดให้ประชาชนอย่างไร้ความรับผิดชอบขนาดนี้

หากมีวิกฤตที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ เช่น มหาอุกกาบาตจะพุ่งชนโลก เขาจะเก็บเงินภาษี และเกณฑ์แรงงานให้พวกท่านสร้างที่กำบังอันแน่นหนาใต้ดินให้ แล้วคัดเอาลูกเมียญาติมิตรผู้มีอุปการคุณของพวกเขาไว้ก่อน ส่วนพวกท่านจับสลากหาผู้โชคดีผ่านแอพพลิเคชั่น “ไทยรอด” แล้วก็พากันเข้าไปในที่กำบังนั้น ก่อนทิ้งให้พวกท่านรอชมหายนะจากอุกกาบาตอยู่ภายนอก นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นภาพอันคาดหมายได้จากวิธีที่เขารับมือกับโรคระบาดในคราวนี้

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเหตุผลประการเดียว คือเพราะผู้มีอำนาจในรัฐบาลนี้ไม่ได้ยึดโยงหรือต้องรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้นกับประชาชนเลย และเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ไม่มีอะไรที่เขาจำต้องยำเยงเกรงใจ

ที่เป็นเช่นนี้ก็ไม่มีสาเหตุใดนอกเหนือไปจาก เพราะกลไกทั้งหลายที่ดักวางไว้ในรัฐธรรมนูญ 2560

กลไกที่คล้ายว่าประเทศปกครองโดยรัฐบาลที่เห็นชอบโดยผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ดังนั้นรัฐบาลดังกล่าวจึงต้องรับผิดชอบต่อสภาและประชาชนที่เลือกเข้ามา และก็จะต้องกำกับดูแลข้าราชการทั้งหลายที่เป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาให้รับผิดชอบและดูแลประชาชนตามอำนาจหน้าที่ของตนตามกฎหมายและนโยบายของรัฐด้วย-ระบบที่ควรจะเป็นนั้นเป็นเช่นนี้

แต่ด้วยกลไกอันพิกลพิการที่เกิดจากการวางกับดักไว้ ตั้งต้นที่การเลือกตั้งแล้วที่วางกติกาไว้กำกวมจนเปิดโอกาสให้ผู้ที่กำกับควบคุมการเลือกตั้งสามารถกำหนดตีความกติกาได้ตามอำเภอใจจนขาดความแน่นอน แม้กระทั่งผลการเลือกตั้งเป็นคะแนนดิบออกมาแล้วก็ยังกำหนดวิธีการคิดจำนวน ส.ส. กันภายหลังได้ ดังนั้นเมื่อกรณีที่ผลการเลือกตั้งออกมาก้ำกึ่ง ก็กลายเป็นว่าในที่สุดฝ่ายของผู้เคยครองอำนาจเดิมจากการรัฐประหารก็ชนะไปอย่างฉิวเฉียด หรือ ส.ส.จากพรรคปัดเศษ อยากย้ายพรรคไปร่วมรัฐบาลเป็นปาร์ตี้ลิสต์ผีก็ทำได้สบายใจรับรองให้

แล้วเพียงชนะเข้ามาน้อยๆ ก็กลายเป็นชนะมาก ด้วยกลไกวุฒิสภาที่แต่งตั้งเองที่เตรียมไว้รองรับ พรรคอื่นที่คิดจะร่วมรัฐบาลจะต้องนำปัจจัยเรื่องเสียงของพรรคพิเศษมาร่วมคำนวณด้วย ในที่สุดก็เป็นอย่างที่เห็น พรรคการเมืองที่เห็นแก่ความได้เปรียบเฉพาะหน้า และผลประโยชน์ก็ทยอยเข้าคอก

เมื่อชนะน้อยกลายเป็นชนะมาก แล้วก็กลายเป็นชนะขาด จากนั้นก็ครองความได้เปรียบทั้งหลายในกลไกการเมือง งบประมาณ อำนาจราชการและท้องถิ่นจนยากที่จะต่อกร ก็ไม่น่าแปลกใจอะไรที่แม้ว่าจะมีการเลือกตั้งซ่อม หรือเลือกตั้งท้องถิ่นพวกเขาก็จะชนะเข้ามาได้อีก ก็เพราะจุดเริ่มต้นของพวกเขานั้นมันได้แต้มต่อมหาศาลมาอยู่แล้ว มันเหมือนการคิดเลขที่เริ่มต้นจากตัวคูณที่ไม่เท่ากันนั่นแหละ

ด้วยกลไกที่บิดเบี้ยวไปตั้งแต่ต้นยันปลายเช่นนี้ พวกเขาก็ครอบครองประเทศได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด
เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจะต้องมาเกรงใจอะไรเอากับประชาชน ในเมื่อเสียงของประชาชนที่มาจากการเลือกตั้งมิได้มีความหมายอะไรต่อพวกเขาอีกแล้ว เขาเกรงใจเพียงกลุ่มทุนและกลุ่มบารมีที่ยังค้ำยันเขาไว้ก็เพียงพอ และเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้อยู่เป็นก็รู้ว่าควรจะกราบเท้าไหนที่จะทำให้ได้ดิบได้ดีเติบโตได้ในระบอบอุปถัมภ์ แน่นอนว่าเรื่องนี้ประชาชนไม่เกี่ยว ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ต้องรับผิดชอบ

เมื่อเรามองภาพออกก็จะสามารถหาคำตอบของเรื่องที่ไม่สามารถอธิบายด้วยเหตุผลได้ว่าทำไม แม้สถานการณ์จะวิกฤตขนาดนี้ แต่รัฐบาลก็ยังไม่ยอมให้ภาคเอกชนจัดหาวัคซีนได้เองจากผู้ผลิตรายอื่น หรือแม้แต่ในสภาวะเศรษฐกิจและวิกฤตของประเทศร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์เช่นนี้ แต่กองทัพก็ไม่ยอม แม้แต่จะชะลอการซื้ออาวุธสงครามตามแผนเดิม หรือแม้กระทั่งเรื่องที่ง่ายกว่านั้นคือยังฝืนเกณฑ์ทหารเรียกกำลังพลเข้ากรมกอง ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าเป็นการเสี่ยงที่จะสร้างการแพร่ระบาดครั้งใหญ่

ท่านที่อยู่ภาคเอกชน หรือเป็นพ่อบ้านแม่เรือน ลองตรองดูว่าถ้าเรื่องนี้ลดขนาดลงเป็นเรื่องในบริษัท หรือครัวเรือนแล้ว มันมีอะไรสมเหตุสมผลหรือไม่ พ่อบ้านที่ฝากไปซื้อยาให้ลูกเท่าไรก็ไม่ไป แต่พอจะฝากเพื่อนบ้านไปซื้อให้ก็โกรธ และห้าม บริษัทขนาดกลางที่กำลังขาดทุนย่อยยับ และเริ่มขาดสภาพคล่องแต่ดันตั้งเรื่องขอซื้อรถประจำตำแหน่งของผู้บริหารระดับเอสคลาส

ในตอนนี้ก็น่าจะเห็นแล้วว่า ผู้นำที่ใจร้าย นายทุนผูกขาดที่มองประเทศนี้เป็นสระน้ำที่ตักได้ไม่รู้สุดสิ้น พลเมืองเป็นปูปลาสัตว์น้ำไร้นามไร้หน้า ฝ่ายการเมืองคิดสั้นที่มองแต่ประโยชน์ และความได้เปรียบของตัวข้าราชการที่มองแต่ความอยู่รอดมั่นคงอย่างเห็นแก่ตัวโดยไม่รับผิดชอบ

คนพวกนี้จะพาเราตายกันหมด โดยที่พวกเขาจะไม่อินังขังขอบ และคำว่า “ตาย” รอบนี้คือความตายจริงๆ ตรงตามตัวอักษร ไม่ใช่ล้มตายหายหดจากสภาวะทางเศรษฐกิจ หรือแค่น้ำท่วมบ้านเรือนทรัพย์สินเสียหาย อย่างที่เคยเปรียบเปรยกันในครั้งผู้นำพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งนั้นด้วย

ในตอนนี้ เชื่อว่าคนที่สติดี ปัญญาไม่พร่อง คงมองเห็นแล้วว่าเรากำลังเผชิญวิกฤตอย่างหนักซ้ำเติมจากวิกฤตระดับโลกที่เลี่ยงไม่ได้ของไวรัส COVID-19 คือ วิกฤตการเมืองที่ทุกอย่างแสดงภาพชัดออกมาในตอนนี้

การแก้รัฐธรรมนูญเพื่อล้างระบอบสืบทอดอำนาจของผู้ปกครองคณะนี้ และกลุ่มผลประโยชน์ และกลุ่มอำนาจเบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขด้วยวิธีใด จะรายมาตราหรือทั้งฉบับก็ตาม คือหนทางเดียวที่เราจะรอดพ้นจากวิกฤตครั้งนี้และที่จะมีต่อไปในอนาคตได้ โดยไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆ

เพราะหากเป็นสภาวะกติกาปกติ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ประชาชนอาจจะพอมีโอกาส “สั่งสอน” ผู้มีอำนาจหรือรัฐบาลชุดนี้ ผ่านการตบหน้าด้วยบัตรเลือกตั้งได้ แต่อย่างที่ได้กล่าวไว้ ด้วยกติกาตามรัฐธรรมนูญนี้ไม่อาจทำเช่นนั้นได้ สถานการณ์จะวนซ้ำไปเช่นเดียวกับการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว

เพียงก้ำกึ่งเท่านั้น พวกเขาก็จะกลับกลายเป็นฝ่ายชนะ และแม้ชนะได้ให้น้อยเท่าใดก็จะกลายเป็นชนะขาดไปได้ทันที

อย่าลืมว่าวุฒิสภาชุดนี้ และอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรีได้นั้นมีวาระรองรับถึงการเลือกตั้งครั้งต่อไปด้วย

ดังนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ยามสถานการณ์เอื้อโอกาส เมื่อมีความเป็นไปได้ ประชาชน ราษฎรทั้งหลาย ต้องทุ่มเทกำลังและความสนใจทั้งหมด เพื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อล้างกติกาที่เอาเปรียบ ที่จะต่อท่อยวงอำนาจของผู้อยู่ในอำนาจกลุ่มนี้ต่อไปโดยไม่เป็นธรรมอีก

ถ้าใครคิดว่าดีว่าชอบการนำประเทศแบบนี้เราก็ไม่ว่ากัน ก็ไปเลือกกันมา ขอให้ชนะการเลือกตั้งมาภายใต้กติกาที่เป็นธรรม ในสภาอันเป็นปกติแบบไม่มีข้อครหา ถ้าอย่างนั้นจะไม่บ่นไม่ว่าอะไรเลย แต่ด้วยกติกาที่เด็กอ่านหนังสือออกก็รู้ว่าไม่ยุติธรรมแบบนี้ไม่เอา

หรือถ้าไม่อย่างนั้นก็ให้ใช้วิธีรัฐประหารด้วยกำลังกันให้ชัดๆ เปิดกันออกมาให้เห็น ไม่ต้องใช้วิธีการประชาธิปไตยแสร้งว่ากันอีก

กล้า สมุทวณิช

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image