09.00 INDEX คล้ายจะจบ แต่ดูเหมือน ไม่จบ กรณี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า
ถามว่าปัจจัยอะไร กระแส “ต้านทักษิณ” ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปลายปี 2548 และทำท่าจะแผ่วลงระยะหนึ่งเหตุใดจึงได้คึกคักและขยายตัวอย่างกว้างขวาง
คำตอบเพราะการขายหุ้น “ชินคอร์ป” ให้กับ “เทมาเซค” แห่งสิงคโปร์ ก่อให้เกิดความไม่พอใจอย่างกว้างขวางและลึกซึ้ง
ถามว่าปัจจัยอะไรทำให้การชุมนุมที่นำโดย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ จึงคึกคักและขยายตัวอย่างกว้างขวาง กระทั่งกลายเป็นชนวนนำไปสู่ “รัฐประหาร”
คำตอบเพราะการนำเสนอร่างพรบ.นิรโทษกรรมอย่างชนิดที่เรียกในภาษาปากว่า “สุดซอย” ก่อให้เกิดความไม่พอใจเป็นอย่างสูงจนนำไปสู่มาตรการ “ชัตดาวน์” กรุงเทพมหานคร
การขายหุ้น “ชินคอร์ป” ทั้งๆ ที่ทำธุรกรรมบนพื้นฐานของกฎหมายครบถ้วนทุกประการ แต่ถูกนำไปขยายกลายเป็นขายโดยไม่เสียภาษี
เช่นเดียวกับกรณีนิรโทษกรรม “สุดซอย” กลายเป็นประเด็นว่าเปิดทางให้บางคนได้ “กลับบ้าน”
กรณีของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ซึ่งผ่านคำวินิจฉัยให้ยังดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีและ ส.ส.บัญชีรายชื่อด้วยคะแนน 9 ต่อ 0 ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
กำลังเข้าสู่ “บรรยากาศ” ที่ละเอียดอ่อนยิ่งในทางจริยธรรมและในทางการเมือง
เป็นบรรยากาศอย่างเดียวกันกับที่ นายทักษิณ ชินวัตร เคยประสบในกรณีการขายหุ้น “ชินคอร์ป” เป็นบรรยากาศอย่างเดียวกับที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เคยประสบในกรณีร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม
ยิ่งเมื่อคณบดีคณะนิติศาสตร์ ไม่ว่าจะจากมหาวิทยาลัยธรรม ศาสตร์ ไม่ว่าจะจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ออกมาตั้งข้อสังเกต ในเชิงกฎหมาย ยิ่งเพิ่มความละเอียดอ่อนมากยิ่งขึ้น
เป็นความละเอียดอ่อนในเชิงจริยธรรมและนิติศาสตร์
นายวิษณุ เครืองาม ออกมาฟันธงว่าเรื่องนี้ “จบ” แล้ว น่าสงสัยยิ่งนักว่าจะจบตามความปรารถนาจริงหรือไม่
ทั้งหมดนี้มิได้เป็นปัญหาที่นักการเมืองในปีกฝ่ายค้านจักต้องเจาะลึกลงไปในรายละเอียด หากรัฐบาลและโดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐก็จะต้องตระเตรียมรับมือ
เพราะทั้งหมดนี้ก่อรูปจาก “อารมณ์” และความรู้สึกที่สัมพันธ์ กับปมของการค้ายาเสพติดและความผิดที่ปรากฏผ่านคำพิพากษา