ชาวม้งร้องบิ๊กตู่ หยุดรื้อสิ่งปลูกสร้างภูทับเบิก โวยเดือดร้อนหนัก เสนอ 4 ข้อ แก้ปัญหาร่วมกัน หวั่นกระทบความมั่นคง
เมื่อวันที่ 2 กันยายน ที่ศูนย์บริการประชาชน สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นายมา วงศ์ทับเบิก อดีตผู้ใหญ่บ้านภูทับเบิก อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ พร้อมตัวแทนชาวม้งภูทับเบิก 6 คน ยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นากยกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ขอความเป็นธรรม หลังได้รับความเดือดร้อนจากคำสั่งมาตรา 44 ที่ 35/2559 เรื่องมาตรการแก้ไขปัญหาการครอบครอง และการใช้ประโยชน์ที่ดินป่าภูทับเบิก ที่ให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบนภูทับเบิก โดยชาวบ้านภูทับเบิกกว่า 1,000 ครัวเรือน ถูกเจ้าหน้าที่รัฐรื้อถอนและขัดขวางไม่ให้อยู่อาศัยและประกอบอาชีพ พร้อมถูกกล่าวหาให้ร้าย นอกจากนี้บางรายยังถูกเจ้าหน้าที่รัฐตั้งข้อหาอาญาร้ายแรง เตรียมจับกุมในข้อหาขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ ซึ่งการรื้อถอนอาคารสถานที่นั้นเจ้าของต้องเป็นคนจ่าย โดยไม่เป็นธรรม ไม่เป็นไปตามข้อตกลงก่อนที่ชาวบ้านจะวางอาวุธเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ตามนโยบาย 66/23
ทั้งนี้ ตัวแทนชาวม้งเรียกร้องให้รัฐบาลหาทางออกร่วมกันกับประชาชนในพื้นที่ จึงเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหา 1.ให้หยุดรื้อถอนและทำลายที่พักแรมของชาวภูทับเบิกเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะบานปลายกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ 2.จัดให้มีคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อรวบรวมพยานหลักฐาน นำข้อเท็จจริงใหม่เข้ามาพิจารณาในชั้นศาล 3.ควรเร่งให้มีคณะกรรมการตรวจสอบว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐที่ได้ดำเนินการรื้อถอนนั้น ถูกต้องเป็นธรรมหรือไม่ 4.ขอให้เร่งตั้งคณะกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหา 3 ฝ่าย ประกอบด้วย คณะกรรมการตัวแทนชาวภูทับเบิก คณะกรรมการเจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐ และคณะกรรมการฝ่ายความมั่นคง
นายมากล่าวว่า วันที่ 24 ตุลาคม 2558 นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ลงพื้นที่พร้อมบอกกับคนในพื้นที่ให้สร้างสิ่งก่อสร้างให้มั่นคง รวมถึงดูแลความสะอาดเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว เพราะจะส่งเสริมให้ภูทับเบิกเป็นโมเดลการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ของไทย แต่เมื่อชาวม้งกู้เงินมาลงทุนปรับปรุงสิ่งปลูกสร้างจนเกิดหนี้สิน ภาครัฐกลับเข้ามารื้อถอน สร้างความเดือดร้อน ซึ่งชาวบ้านมองไม่เห็นทางออก ขอยืนยันว่ารีสอร์ตบนภูทับเบิกเป็นของชาวม้งในพื้นที่ ไม่ใช่กลุ่มนายทุน และชาวม้งไม่ใช่อาชญากร ไม่เข้าใจว่าเหตุใดภาครัฐจึงเข้ารื้อถอนรีสอร์ต เพราะก่อนหน้านี้ไม่มีการเจรจาจากภาครัฐ หรือแจ้งให้ทราบก่อนเข้ารื้อถอนแต่อย่างใด ดังนั้น จึงรวบรวมรายชื่อประมาณชาวบ้านประมาณ 300 คน เข้าขอความเป็นทำกับนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ทบทวนการรื้อถอน และร้องขอให้มีการเจรจาเพื่อหาทางออกร่วมกัน รวมถึงการหามาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ