เวที พสต.7 ถกปมปัญหา-แนวทางแก้ไขการหาเสียง ลต. ‘กรณ์’ชี้นโยบายที่ดีไม่ต้องโดนใจ ปชช. เผยที่ผ่านมาเน้นแต่คะแนนเสียงไม่คำนึงผลเสีย ‘เจษฎ์’ระบุ พรรคการเมืองเข้มแข็งหรืออ่อนแออยู่ที่นโยบายพรรค
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 2 กันยายน ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หลักสูตรพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง (พตส.) รุ่น 7 จัดอภิปรายหัวข้อ “นโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง : ข้อเท็จจริง ปัญหา และแนวทางแก้ไข” ให้กับนักศึกษาหลักสูตร พตส.7 โดยมีนายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายเจษฎ์ โทณะวณิก ที่ปรึกษาคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) และนายไมเคิล วินเซอร์ ผู้แทนมูลนิธิคอนราด อเดนาวร์ ร่วมอภิปราย
โดยนายกรณ์กล่าวว่า นโยบายที่ดีไม่จำเป็นต้องโดนใจประชาชน และนโยบายที่โดนใจประชาชนไม่จำเป็นต้องดี ซึ่งหลักการของนโยบายที่ดีมี 4 ข้อคือ 1.พัฒนาประเทศโดยไม่สร้างความแตกแยก 2.พัฒนาประเทศถูกต้องตามหลักกฎหมายและศีลธรรม 3.พัฒนาประเทศโดยไม่เสียวินัยการคลัง และ 4.พัฒนาประเทศด้วยความยุติธรรมตามหลักประชาธิปไตย ส่วนการพิจารณาว่าดีหรือไม่นั้น ต้องดูว่าสามารถแก้ปัญหาได้จริงหรือไม่ ถูกต้องตามหลักกฎหมายหรือไม่ และมีความเป็นไปได้เพียงใด ที่ผ่านมาแต่ละพรรคการเมืองมุ่งเน้นว่านโยบายจะต้องตอบโจทย์ความต้องการของผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ได้ เพื่อให้ได้คะแนนเสียงทำให้พรรคการเมืองใหญ่มุ่งชูนโยบายให้ประชาชนเข้าใจง่าย แต่บางครั้งก็ไม่คำนึงถึงผลเสียที่ตามมา ยกตัวอย่างในการเลือกตั้งที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทย (พท.) ชูนโยบายรถยนต์คันแรก พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ชูนโยบายบ้านหลังแรก ซึ่งนโยบายพรรค พท.โดนใจประชาชนมากกว่า ทำให้ได้คะแนนเสียงจำนวนมาก และชนะพรรค ปชป. ทั้งที่นโยบายดังกล่าวสร้างผลเสียมากกว่า ทั้งกับตัวประชาชนและงบประมาณของประเทศ
นายกรณ์กล่าวต่อว่า ขณะที่พรรคขนาดกลางและเล็ก เมื่อประชาชนไม่ให้ความสนใจก็ทำให้พรรคไม่สนใจที่จะชูนโยบายที่จะแก้ไขปัญหาได้จริง ส่วนใหญ่ก็เป็นลักษณะที่เป็นไปไม่ได้ ในช่วงของการร่างรัฐธรรมนูญมีการพูดว่าจำเป็นต้องใช้กฎหมายเข้ามาควบคุมการเสนอนโยบายของพรรค เพื่อไม่ให้มาสร้างปัญหาให้กับประเทศ แต่ตนกลับเห็นว่าการที่จะทำให้พรรคเสนอนโนบายที่ดีต้องมาจากการกดดันของประชาชน สื่อต้องติดตามอย่างเข้มข้น ควรจะมีหน่วยงานวิเคราะห์งบประมาณของฝ่ายนิติบัญญัติ เพื่อมาวิเคราะห์นโยบายของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ว่า นโยบายดังกล่าวจะใช้งบประมาณในการดำเนินการเท่าใด และจะสร้างความเสียหายเกิดขึ้น
ด้านนายเจษฎ์กล่าวว่า แนวทางร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ในเรื่องพรรคการเมืองมีเสรีภาพในระดับที่เหมาะสม มีขื่อแปที่จะดำเนินงานร่วมกัน ทำให้พรรคต้องมีความรับผิดชอบในการเสนอนโยบายที่เป็นสัญญาประชาคม และมีการกำหนดว่าเมื่อเป็นรัฐบาลแล้วนโยบายนั้นสร้างความเสียหาย คณะรัฐมนตรีที่ร่วมเห็นชอบจะต้องรับผิดชอบร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย ยืนยันว่าร่างรัฐธรรมนูญของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. ไม่ได้ความคิดที่จะออกแบบให้พรรคการเมืองหรือรัฐบาลที่อ่อนแอ ความเข้มแข็งของรัฐบาลหรือพรรคการเมืองไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ว่าเรามีพรรคมากหรือน้อย แต่อยู่ที่นโยบายของพรรคว่าดีกับประชาชนหรือไม่ ซึ่งต้องทำให้ประชาชนมองนโยบายพรรคสำคัญ แต่ลักษณะของคนไทยและสื่อ เป็นลักษณะของพวกเกาะไม่ติด กัดแล้วปล่อย คือเห็นว่ามีปัญหาก็ไม่ตรวจสอบให้ถึงที่สุด ดังนั้น ถ้าจะเรียกร้องให้พรรคการเมืองเปลี่ยน ประชาชนก็ต้องเปลี่ยนด้วย
ขณะที่นายไมเคิลกล่าวถึงการเลือกตั้งและพรรคการเมืองว่า พรรคการเมืองเป็นสถาบันที่รัฐต้องสนับสนุนด้วย ซึ่งในเยอรมันการให้งบสนับสนุนพรรคการเมืองจะขึ้นอยู่กับคะแนนเสียง ได้คะแนนเสียงมากเท่าไหร่รัฐก็ให้เงินสนับสนุนมากเท่านั้น และการบริจาคเงินให้พรรคการเมืองจะได้รับการยกเว้นภาษี เป็นเครื่องมือที่ดีมากในการสนับสนุนพรรคการเมือง ทั้งนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือการให้การศึกษากับพลเมือง ในการคิดเชิงวิพากษ์และตัดสินใจ ซึ่งปัญหาโลกาภิวัฒน์มีความซับซ้อนขึ้น บางเรื่องผู้มีสิทธิก็ไม่เข้าใจ ดังนั้น พรรคการเมืองและผู้สมัครต้องยืนหยัดในการสร้างความไว้วางใจและน่าเชื่อถือ