การออกมา “กวักมือ” เรียก “คสช.” ให้เข้ามาคุม “การเลือกตั้ง” โดยบรรดา “คุณห้อย คุณโหน” ทางการเมือง “เป้าหมาย” เพื่ออะไร
คำตอบ คือ ต้องการ “ชู” คสช.
เพื่อตอกย้ำ และยืนยันว่า “คสช.” สามารถคุมการเลือกตั้งให้สุจริตและเที่ยงธรรมได้
เหนือกว่า “คณะกรรมการการเลือกตั้ง”(กกต.)
ถามว่า “คุณห้อย คุณโหน” เหล่านี้ยกตัวอย่างความบกพร่องของ “กกต.”มาจากตอนไหน
เด่นชัด คือ จากการเลือกตั้งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2557
น่าสนใจก็ตรงที่เป็นการเลือกตั้งซึ่งบรรดา “คุณห้อย คุณโหน” ทั้งหลายออกไปเป่านกหวีด สกัดขัดขวาง
โดย”กกต.”เองก็รู้เห็นและ”เป็นใจ”
บรรดา “คุณห้อย คุณโหน”เหล่านี้ต่างยกตัวอย่างว่าสถานการณ์ระหว่างทำ “ประชามติ” ไม่มีเหตุการณ์อย่างปี 2557
จึงต้อง”ขยายผล” จาก”ประชามติ โมเดล”
ถามว่าการออกเสียงประชามติเมื่อวันที่ 7 สิงหาคมดำเนินไปอย่างไร
ตอบได้ว่า 1 กกต.มี”บทบาท”
ตอบได้ว่า 1 บทบาทของกกต.ได้รับการหนุนเสริมโดยกระทรวงมหาดไทย
ตอบได้ว่า 1 คสช.เข้ามามีส่วนอย่างสำคัญ
นั่นก็คือ การจัดตั้ง”ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย” โดยมีกระทรวงมหาดไทยเป็นกำลังสำคัญ
ประสานการหนุนช่วยจาก ตำรวจ จากทหาร
หากไม่คล่องในการใช้พรบ.การออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2559 ก็งัดประกาศและคำสั่งคสช.มาจัดการ
จึงเรียบร้อยกว่า 16 ล้านเสียง
คล้ายกับว่าข้อเสนอของบรรดา”คุณห้อย คุณโหน”จะเป็นการชูให้บทบาทของ “คสช.” สูงเด่น
แต่ข้อสังเกตจาก นายนิกร จำนง ที่ว่า
“การให้คสช.เข้ามาเกี่ยวข้องจัดการเลือกตั้งอาจถูกมองเรื่อง ความไม่เป็นกลาง ถ้าผู้ถือรัฎฐาธิปัตย์กดทับการเลือกตั้งไว้จะมีปัญ หาเรื่องการเปลี่ยนผ่านอำนาจ
“ทำแบบนี้ต่างชาติจะส่งคนมาสังเกตการณ์แน่ ภาพลักษณ์ของประเทศจะเป็นอย่างไร
“มีแต่เสียกับเสีย”
การขยายผลจาก “ประชามติ โมเดล” อาจเป็นหลักประกันในเรื่อง “การเลือกตั้ง”
แต่ก็มากด้วย “ความอ่อนไหว”
อ่อนไหวที่จะนำไปสู่การฉายภาพอันเป็นที่มาของ 16 ล้านเสียงเมื่อวันที่ 7 สิงหาคมว่าเป็นอย่างไร
ได้มาเพราะประกาศและคำสั่ง “คสช.”
ได้มาเพราะการจำกัดกรอบฝ่ายที่”เห็นต่าง”