ที่เห็นและเป็นไป : ต้องคืนสู่ ‘เห็นหัวประชาชน’ โดย สุชาติ ศรีสุวรรณ

A man receives a dose of Russian-made Sputnik V Covid-19 vaccine in Podgorica on February 22, 2021. (Photo by SAVO PRELEVIC / AFP)

ไปไกลเกินกว่าจะกู่กลับแล้ว สำหรับการบริหารจัดการ “วัคซีนโควิด -19” ที่เละเทะ เลอะเทอะในทุกมิติ

ในเชิง “วิชั่น” หรือการเตรียมอนาคตที่ดี เจ๊งไปเรียบร้อย จากความสามารถต่ำเกินกว่าที่จะประเมินที่ดันไปเชื่อว่า “คนไทย” เชื่อฟังพอที่จะช่วยกันป้องกันตัวเองได้ ไม่เดือดร้อนจนต้องสั่งวัคซีนเข้ามามากมาย

เป็นการมองปัญหาของชาติในมิติเดียว คือการระบาดของเชื้อโรค ไม่ได้มองถึงการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ที่จะทำให้การใช้ชีวิตกลับมาสู่ปกติ ซึ่งทำให้กลไกเศรษฐกิจขับเคลื่อนได้

เพราะ “คิดถึงประชาชน” น้อยเกินไป ใส่ใจแก้ปัญหาความเดือดร้อนด้วยการแจกเงิน ไม่คิดในเชิงฟื้นฟูให้กลับมาประกอบอาชีพได้เหมือนเดิมอันเป็นการแก้ถาวรกว่า

Advertisement

การเลือกให้ประชาชนใช้วัคซีนได้เพียง 2 ยี่ห้อ โดยยี่ห้อหนึ่งใช้สำหรับกลุ่มที่ภูมิต้านทานต่ำ ไม่ว่าจะเป็นเข้าสู่วัยชรา คืออายุเกิน 60 ปี หรือมีโรคประจำตัวที่เป็นปัญหาหากติดเชื้อ และอีกยี่ห้อหนึ่งเพื่อคนหนุ่มสาวที่แข็งแรง

เป็นการตัดสินใจเลือกโดยไม่ฟังเสียงเตือนของใครเกี่ยวกับปัญหาเรื่องคุณภาพของวัคซีนนั้น ที่มีผู้ชี้ให้เห็นแล้วว่าการไม่ได้รับการรับรองจากองค์กรระดับโลกนั้นจะทำให้มีปัญหากับความเชื่อมั่น ซึ่งจะเป็นอุปสรรคกับการฟื้นฟูประเทศ ที่จะกระทบต่อการคืนสู่ชีวิตปกติของประชาชน

เป็นการตัดสินที่นึกถึงชะตากรรมของประชาชนน้อยเกินไป

Advertisement

วัคซีนที่จำกัดทางเลือก และปริมาณ ที่สุดแล้วเมื่อเกิดการระบาดครั้งใหญ่ เพราะรัฐไม่สามารถควบคุมกลไกไม่ให้เห็นแก่ประโยชน์จนกระทั่งละเลยก่อสภาวะการ์ดตกอันเนื่องมาจากการปล่อยปละของเจ้าหน้าที่ได้

ทุกอย่างก็ดูจะสายเกินไป

การระบาดของโรคไปเร็วและแรง ประชาชนติดเชื้อ ป่วย และตายจากความประมาทในการจัดการนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ

การจัดการวัคซีนที่มีอยู่จำกัดเพราะความฉลาดมีไม่พอที่จะเฉลียวว่าการระบาดรุนแรงจะเกิดขึ้นได้ ไม่พอที่จะคิดว่าหากเอาไม่อยู่จะบริหารจัดการอย่างไร

ในสังคมให้ความสำคัญกับคำว่า “เป็นใคร” มากกว่า “เป็นคนเหมือนกัน” ทำให้การจัดสรรวัคซีนเกิดความชุลมุนวุ่นวาย แจกจ่าย บริการแบบให้เอกสิทธิ์กับคนบางกลุ่มมากกว่าที่จะคิดถึงความจำเป็นและเหมาะสมกับที่จะทำให้ภาพรวมของประเทศและชีวิตของคนส่วนใหญ่ดีขึ้น

เมื่อบริหารแบบไร้หลักที่จะมาอธิบายให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นไปอย่างมีเหตุผลได้ วิถีแบบมือใครยาวสาวได้สาวเอาก็เกิดขึ้น เพราะเกิดกระแสที่รับรู้กันอยู่ทั่วไปว่ามีการจัดการที่ไม่ให้ความเป็นธรรม

เมื่อไร้ระบบทุกอย่างยิ่งสับสนอลหม่าน เต็มด้วยถ้อยคำต่อว่าที่สะท้อนถึงความรู้สึกไม่ได้รับการแบ่งสรรและการจัดการที่เป็นธรรม ความไม่เชื่อมั่นที่เกิดขึ้นทำให้ทุกคนต่างหาทางดิ้นรนเพื่อแก้ปัญหาให้ตัวเอง

วัคซีนที่ขาดแคลนอยู่แล้ว ยิ่งเกิดสภาพที่ต้องช่วงชิงกัน โดยที่ทุกคนต่างมองความจำเป็นของตัวเองสำคัญกว่าคนอื่น ทุกอย่างก็ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะไม่สามารถจัดการให้เกิดความเหมาะสมกับการแก้ไขปัญหาที่เป็นภาพรวมของประเทศได้

ยิ่งปล่อยก็ยิ่งอธิบายไม่ได้ เพราะไม่มีเหตุผลที่จะชี้ให้เห็นว่าที่ทำกันอยู่ในความเป็นจริงคืออย่างไร

เมื่อทำโดยไม่อธิบาย ก็ยิ่งโกลาหล คุมสภาพไม่ได้

ซึ่งจะทำให้การแก้ปัญหาโดยภาพรวมของประเทศ ยิ่งย่ำแย่ไปใหญ่ เพราะไม่มีทางที่จะกลับคืนมาสู่การจัดการที่อธิบายถึงเหตุผลที่เป็นธรรมให้คนเชื่อถือได้

เมื่อเป็นเช่นนี้ นับวันยิ่งเห็นความเลอะเทอะ เละเทะในทุกมิติของการบริหารจัดการมากขึ้นเรื่อยๆ

และเมื่อขืนปล่อยให้เป็นไปเช่นนี้ นับวันจะยิ่งกุมสภาพไม่ได้ ซึ่งหมายถึงบริหารจัดการไม่ได้ ต้องปล่อยให้ประเทศเคลื่อนไปอย่างยถากรรม แล้วแต่ใครจะมีพลังมากกว่าใคร

ความจำเป็นเร่งด่วนที่สุด รัฐบาลต้องกลับมาคุมสภาพให้ได้

หนทางที่จะทำให้ความสามารถในการบริหารจัดการยังเหลืออยู่คือ การทำให้ประชาชนส่วนใหญ่กลับมาให้ความเชื่อถือในความเป็นธรรมในการจัดการ

และการสร้างความน่าเชื่อถือนั้น ไม่มีหนทางอื่นนอกจากต้องเริ่ม “สำนึกของการเห็นหัวประชาชน”

ต้องเห็นว่า “ประชาชนทุกคนคือชีวิตมีสิทธิที่จะได้รับการจัดสรรประโยชน์อย่างเท่าเทียมและเหมาะสมเหมือนกัน”

เริ่มที่ “สำนึกเห็นหัวประชาชน” ได้ ความหวังที่จะเกิดสติปัญญาที่จะคลี่คลายวิกฤตของชาติ

ก็พอมี

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image