วัคซีนกลายเป็นเรื่องสำคัญของประเทศ เมื่อสถานการณ์โควิด-19 จะหยุดลงได้ก็ต่อเมื่อประชากรได้ฉีดวัคซีนป้องกัน
ขณะที่วัคซีนเป็นที่ต้องการของโลกทั้งใบ ประเทศไทยก็ต้องการวัคซีนเข้ามาฉีด
ทำให้วัคซีนมีจำนวนจำกัด
เมื่อวัคซีนมีจำนวนจำกัด วัคซีนจึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญ
สำคัญต่อการดำรงชีวิต
สำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
และสำคัญต่อการเมือง
ยิ่งกับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่บริหารประเทศมาอย่างต่อเนื่องนับจากยึดอำนาจล่วงเลยมาถึงการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ตามรัฐธรรมนูญปี 2560 รวมระยะเวลา 7 ปีด้วยแล้ว ยิ่งมีความสำคัญ
ทั้งนี้ เพราะเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ในตำแหน่งมาเป็นเวลานาน ประชาชนเริ่มรู้สึกเบื่อ และเมื่อปรากฏว่าผลงานของรัฐบาลที่เคยรับปากไว้ “ทำไม่เข้าเป้า”
ประชาชนยิ่งรู้สึกอยากเปลี่ยนแปลง
อย่างไรก็ตาม เมื่อประชาชนเริ่มมีความเคลื่อนไหวขับไล่ โลกทั้งใบได้ตกอยู่ภายใต้สถานการณ์โรคระบาด
แต่ประเทศไทยใช้ “ยาแรง” ประกาศล็อกดาวน์ ทำให้การระบาดในไทยอยู่ในเกณฑ์ต่ำ
ประเทศไทยได้รับการยอมรับจากองค์การอนามัยโลกว่า ควบคุมโรคโควิด-19 ได้ดี
รัฐบาลไทยได้ชื่อเสียงจากการควบคุมการระบาด และกลายเป็นผลงานอันโดดเด่นทางสาธารณสุข
แต่การใช้ “ยาแรง” ด้วยการล็อกดาวน์ กลับก่อเกิดปัญหาเศรษฐกิจขึ้นมาอย่างทันตาเห็น
ประชาชนเดือดร้อน นักธุรกิจเดือดร้อน และพร้อมใจกันเรียกร้องให้ “ผ่อนคลาย”
เมื่อรัฐบาลผ่อนคลาย แหล่งอโคจรการ์ดตก การระบาดคืนกลับมาอีกหน
ครั้งแรกกลับมาเพราะการขนแรงงานต่างชาติเข้าเมืองผิดกฎหมาย ครั้งต่อมาระบาดจากบ่อนการพนัน และล่าสุดระบาดจากคลับทองหล่อ
ครั้งนี้รัฐบาลใช้สูตรใหม่ในการรับมือการระบาด
แทนที่จะล็อกดาวน์ซึ่งมีผลกระทบทางเศรษฐกิจสูง เปลี่ยนมาใช้วิธีการล็อกเฉพาะพื้นที่
วิธีการนี้ธุรกิจยังเดินไปข้างหน้าได้ แต่รัฐบาลต้องมีความพร้อมรับมือกับการระบาด
ทั้งโรงพยาบาล ทั้งเตียงพยาบาล ทั้งยารักษา
และที่สำคัญคือ “วัคซีน”
น่าสังเกตว่าการเตรียมการรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 ในครั้งหลังแตกต่างจากครั้งแรก
รัฐบาลที่เป็นผู้ดูแลสถานการณ์ ส่งสัญญาณ “ร้าวภายใน” ออกมาเป็นระยะๆ
จนกระทั่งคำสั่งจากนายกรัฐมนตรีในระยะหลัง มีผลลดบทบาทของฝ่ายการเมืองลงเรื่อยๆ
การตั้งคณะกรรมการวัคซีนทางเลือกโดยไม่มีชื่อนายอนุทินร่วมคณะ
การโยกอำนาจการสั่งการทางกฎหมาย จำนวน 31 ฉบับ มาไว้ที่นายกรัฐมนตรี
การดึงอำนาจการจัดการกระจายวัคซีนจากกระทรวงสาธารณสุขไปไว้ที่ ศบค.
ศบค.ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด
แนวปะทะเรื่องวัคซีนภายในรัฐบาลเกิดขึ้นเป็นระยะ เกิดวิวาทะระหว่าง “วอล์กอิน” กับ “ออนไซต์”
วอล์กอิน คือ การเดินเข้าไปฉีดวัคซีนตามจุดบริการ โดยจะนำวัคซีนจากคนที่จองฉีดแล้วไม่มาตามนัดไปบริการคนวอล์กอิน
ว่ากันว่าแนวคิดนี้เป็นไอเดียจากคณะทำงานของนายอนุทิน
แต่จู่ๆ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงเรื่องดังกล่าว โดยระบุว่า ไม่มี “วอล์กอิน” และให้ฟัง ศบค.เพียงหน่วยงานเดียวในเรื่องการกระจายวัคซีน
พร้อมกันนั้นก็ปรากฏวิธี “ออนไซต์” มาแทน “วอล์กอิน” โดยมีวิธีการไม่แตกต่างจากเดิมเท่าใดนัก
ล่าสุดเกิดความปรับเปลี่ยนแผนการฉีดวัคซีนอีกหน เมื่อ ศบค.สั่งชะลอการลงทะเบียนฉีดวัคซีนในแอพพ์ “หมอพร้อม”
แล้วกระจายให้แต่ละจังหวัดไปดำเนินการรับจองฉีดวัคซีนกันเอง
ดีเดย์ที่ กทม.ที่เปิดรับจองฉีดวัคซีนเพื่อให้คนกรุงเทพฯได้วัคซีนมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของประชากร หรือ 5 ล้านคน ภายใน 2 เดือน ตามคำสั่งนายกฯ
คำสั่งชะลอดังกล่าวสร้างความงุนงงให้แก่นายอนุทิน
รวมทั้ง นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ก็งุนงง
ทั้งรัฐมนตรีว่าการและรัฐมนตรีช่วยสาธารณสุข ต่างบอกให้ไปถามสาเหตุการชะลอจาก ศบค.
ความเคลื่อนไหวดังกล่าว มุมมองทางการเมืองเห็นว่า เป็นการช่วงชิงคะแนนเสียง
เมื่อวัคซีนมีความสำคัญต่อประชาชน และสำคัญต่อเศรษฐกิจ
หากรัฐบาลสามารถตอบสนองความต้องการวัคซีนจากภาคส่วนต่างๆ ได้
คะแนนนิยมย่อมปรากฏ
ขณะที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เป็นรัฐบาลผสม มีพรรคพลังประชารัฐเป็นแกน มีพรรคใหญ่อย่างพรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาธิปัตย์ เป็นกองหนุน
แต่ผลการดำเนินการเรื่องโควิด-19 และวัคซีน อยู่ที่กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีทั้งนายอนุทินจากภูมิใจไทย และนายสาธิต จากประชาธิปัตย์
ไม่มีคนจากพรรคพลังประชารัฐหรือรัฐบาลเข้าไปเอี่ยว
ดังนั้น การดึงอำนาจจากกระทรวงสาธารณสุขมายัง ศบค.ที่บริหารโดยทีมของ พล.อ.ประยุทธ์ ย่อมมีความหมายทางการเมือง
หาก พล.อ.ประยุทธ์ สามารถบริหารจัดการวัคซีนได้
สามารถทำให้คนไทยได้รับวัคซีนตามความต้องการ
สามารถยับยั้งการระบาดของโรคโควิด-19 ได้อีกครั้ง
ย่อมถือเป็นการแก้มือ หลังจากพลาดพลั้งจนเกิดการระบาดระลอก 3
ในขณะนี้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ได้บริหารราชการครึ่งทาง เหลืออีกครึ่งทางจะต้องเลือกตั้งใหม่อีกครั้ง
กล่าวคือได้รับเลือกตั้งและเป็นรัฐบาลเมื่อปี 2562
เมื่อถึงปี 2566 จะครบวาระและเลือกตั้งใหม่
ระหว่างปี 2564 จนถึงปี 2566 ในทางการเมืองถือว่า “อะไรก็เกิดขึ้นได้”
ดังนั้น การสะสมคะแนนด้วยผลการทำงานจึงเป็นสิ่งที่นักการเมือง พรรคการเมือง และรัฐบาลพึงกระทำ
ยิ่งในปี 2564 ถือเป็นปีที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากโควิด-19
การบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชน จึงเป็นหนทางการตักตวงแต้มทางการเมือง
ยิ่งวัคซีนป้องกันโควิด เป็นทางรอดจากความเดือดร้อนในครั้งนี้
การจัดการวัคซีน ยิ่งมีความสำคัญทางการเมือง
เพราะนี่คือคะแนนสำคัญ นี่คืออนาคตทางการเมือง
สถานการณ์การเมืองในปัจจุบันจึงมีผลต่ออนาคต
มีผลต่อการเลือกตั้งครั้งต่อไป