ธนาธร เตือน อัตราฉีดวัคซีนไทยต่อประชากรยังรั้งท้าย ชงบิ๊กตู่ 5 ข้อ คลี่คลายวิกฤตวัคซีน

‘ธนาธร’ สอน ‘ประยุทธ์’ พาประเทศไทยพ้นวิกฤตโควิด เสนอ ยกหูหา บ.ผลิต – เปิดทุกสัญญาจัดซื้ออย่างโปร่งใส ประกาศให้ปชช.รู้ว่าจะได้ฉีดเมื่อไหร่

เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า แถลงข่าวผ่านช่องทางเฟซบุ๊กไลฟ์บนเพจ Thanathorn Juangroongruangkit – ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และทางเพจ คณะก้าวหน้า – Progressive Movement แสดงทรรศนะต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 แผนฉีดวัคซีนของรัฐบาลในปัจจุบัน และข้อเสนอเพื่อจัดการปัญหาดังกล่าว

นายธนาธร กล่าวว่า สถานการณ์ในขณะนี้ มีประชากรโลกเฉลี่ย 10.23% ได้รับวัคซีนเข็มแรกแล้ว โดยประเทศที่ฉีดได้มากที่สุดในโลกคือ อิสราเอล ตามด้วยอังกฤษ และสหรัฐอเมริกา ส่วนในประเทศอาเซียน เราก็ยังรั้งท้ายถึงอันดับ 8 จาก 10 ประเทศ โดยฉีดได้เพียง 3.17% ของประชากรเท่านั้น ในด้านการจัดหาวัคซีน ปัจจุบันรัฐบาลไทยจัดหาวัคซีนได้เพียง 70.1 ล้านโดส จากเป้าหมาย 150 ล้านโดส ได้รับแล้วเพียง 6.1 ล้านโดส ที่เหลือจะทยอยส่งมอบในเดือนมิถุนายนเป็นต้นไป และแม้จะนับรวมกับที่รัฐบาลและภาคเอกชนกำลังเจรจาจัดหาเพิ่มเติมผ่านช่องทางอื่นๆ ก็จะพบว่าทั้งหมดรวมกันยังได้ไม่ถึง 150 ล้านโดสตามเป้าหมายอยู่ดี

ในด้านการฉีดวัคซีน ปริมาณที่ไทยฉีดได้มากที่สุดต่อวันคือ 1.6 แสนโดส ห่างไกลจากเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ที่วันละ 5 แสนโดส ซึ่งหากอัตราการฉีดยังเป็นเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่ประเทศไทยจะผ่านพ้นวิกฤตโควิดได้ภายในสิ้นปี 2564 หรือแม้แต่ต้นปี 2565 ปัญหาคือประชาชนรู้สึกสับสน ไม่เชื่อมั่น ไม่แน่ใจว่าจะวางแผนอนาคตอย่างไร ทั้งหมดเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนนโยบายไปมาหลายครั้งของรัฐบาล ที่สะท้อนภาวะผู้นำที่ล้มเหลวของนายกรัฐมนตรี เช่น การเปลี่ยนเป้าหมายและจำนวนวัคซีนถึง 4 ครั้งภายในระยะเวลาไม่ถึง 1 ปี จาก 65 ล้านโดส ภายในปี 2566 เป็น 63 ล้านโดสภายในสิ้นปี 2564 ต่อมาก็เปลี่ยนอีก เป็น 100 ล้านโดสภายในสิ้นปี 2564 และล่าสุด ประกาศเปลี่ยนเป้าหมายเป็น 150 ล้านโดสภายในปี 2565

“แน่นอนที่สุด การเปลี่ยนเป้าหมายให้เยอะขึ้น ให้เร็วขึ้น เป็นเรื่องที่ดี แต่ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ประการแรก ทำไมถึงมีการเปลี่ยนถึง 4 ครั้ง เปลี่ยนแต่ละครั้งรัฐบาลคิดอย่างรอบคอบหรือไม่ เป้าหมายการจัดหาและการฉีดวัคซีนเป็นเป้าหมายที่สำคัญ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอดเวลาแบบนี้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นก่อนการตัดสินใจแต่ละครั้งได้คิดอย่างละเอียด และถี่ถ้วนแล้วหรือยัง ประการที่สองคือทำได้หรือเปล่า คุณประยุทธ์พูดเองว่าต้องฉีดให้ได้วันละ 5 แสนโดสต่อวัน ซึ่งเยอะที่สุดที่เราเห็นต่อวันก็คือ 1 แสนกว่าโดส คุณประยุทธ์ไม่ได้บอกเลยว่าจะทำอย่างไรให้ได้ไปถึงจุดนั้น ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มจาก 63 ล้านโดส เป็น 100 ล้านโดส ในปี 64 หรือการเพิ่ม 100 ล้านโดส ในปี 64 เป็น 150 ล้านโดสในปี 65 จะจัดหาจากไหน จะจัดหาทันไหม จะฉีดได้ไหม จะฉีดทันเวลาหรือเปล่า ประชาชนตั้งข้อสงสัย” นายธนาธร กล่าว

ADVERTISMENT

นายธนาธร กล่าวว่า ส่วนนโยบายการจัดหาวัคซีนโดยภาคเอกชน ที่กลับไปกลับมา เปลี่ยนแปลงถึง 4 ครั้งภายในไม่ถึง 1 เดือน วันเวลาในการส่งมอบวัคซีนแอสตราเซเนกา ที่มีการรายงานข่าวว่าจะส่งมอบได้ก่อนกำหนด แต่กลับไม่ได้เป็นไปตามนั้น และยังไม่มีวันที่ส่งมอบชัดเจนจนถึงตอนนี้ การลงทะเบียนรับวัคซีน ที่เปลี่ยนไปมาระหว่างการลงทะเบียนผ่านแอพพลิเคชั่น กับการใช้ระบบวอล์กอิน ที่ต่อมาถูกสั่งยกเลิกโดยนายกรัฐมนตรีให้กลับไปลงทะเบียนผ่านหมอพร้อม แต่ล่าสุดก็ได้มีการประกาศชะลอการลงทะเบียนผ่านหมอพร้อม ซึ่งความสับสนกลับไปกลับมาทั้งหมดนี้เกิดขึ้น 4 ครั้งในเวลาเพียง 26 วัน

รวมถึงการเข้าร่วมโครงการ COVAX ซึ่งไทยเป็นเพียงไม่กี่ประเทศในโลกที่ไม่เข้าร่วมโครงการ โดยอ้างว่าจะทำให้เรามีพลังต่อรองกับผู้ขายน้อย ต้องเสียค่าธรรมเนียมต่างๆ มาก แต่แล้ว ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมารัฐบาลกลับมีคำสั่งให้คณะผู้แทนถาวรไทยประจำองค์กรต่างๆของสหประชาชาติ ไปเจรจาขอวัคซีนจากประเทศที่เป็น COVAX facility และประเทศอื่นๆ ว่าหากมีวัคซีนเหลือให้ส่งมาให้ไทยใช้ก่อน และไทยจะส่งคืนในภายหลัง

“ทุกเดือนทุกวันที่เวลาเดินไป แล้วประชาชนยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ประชาชนยังกลับมาใช้ชีวิตตามปกติไม่ได้ มันทำให้เกิดความเสียหายมากมาย รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 12,400 ล้านบาทต่อเดือน มูลค่าทางเศรษฐกิจเสียหาย 37,000 ล้านบาทต่อเดือน รายได้ภาษีของรัฐหายไป 10,600 ล้านบาทต่อเดือน รัฐบาลต้องจ่ายดอกเบี้ยที่เรากู้มาเพื่อเยียวยาประชาชนในสถานการณ์โควิด เพิ่มขึ้น 2,300 ล้านบาทต่อเดือน คนตกงานจากเดิมในภาวะปกติ มีคนที่ขอเข้ารับสิทธิ์การว่างงานเดือนละประมาณ 60,000 คน เมื่อเกิดภาวะโควิดขึ้น ตัวเลขนี้วิ่งขึ้นไปถึงแสนกว่าคน หมายความว่าแต่ละเดือนมีคนตกงานเพิ่มขึ้นจากปกติถึงเดือนละ 48,000 คน หรือสูงกว่าปกติถึง 82%” นายธนาธร กล่าว

นายธนาธร กล่าวว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์ที่เราฉีดวัคซีนได้ช้า ก็คือ 1) เกิดการระบาดของเชื้อสายพันธุ์ใหม่ ที่แพร่ง่ายและรุนแรงขึ้น และล่าสุดก็เกิดเชื้อสายพันธุ์ไทยเรียบร้อยแล้ว 2) เกิดการระบาดในต่างจังหวัดหลายพื้นที่ ซึ่งทำให้การควบคุมโรคยิ่งทำได้ยาก ส่งผลเสียหายทางเศรษฐกิจเพิ่ม และ 3) เกิดผลกระทบตามมาจากการได้วัคซีนช้า ไม่เพียงพอ ต้องเลื่อนหรือยกเลิกคิวฉีดวัคซีน

ดังนั้น เพื่อให้ประเทศไทยออกจากโควิดโดยเร็วที่สุด ตนเสนอ 5 ทางออกเพื่อคลี่คลายวิกฤตวัคซีน ประกอบไปด้วย 1) เร่งหาวัคซีนให้เพียงพอ นายกรัฐมนตรีต้องเป็นผู้ยกหูโทรศัพท์เจรจาหาวัคซีนด้วยตนเอง เช่นที่เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ยกหูโทรหาผู้บริหารไฟเซอร์ถึงกว่า 30 ครั้ง เพื่อเจรจาขอซื้อวัคซีน 2) วางแผนสต็อกวัคซีนอย่างโปร่งใสด้วยระบบเดียวกันทั่วประเทศ ทุกสถานีฉีดต้องกรอกแบบฟอร์มรายงานยอดวัคซีน-ยอดการฉีดในแต่ละวัน ส่งเข้าจังหวัดและจากจังหวัดเข้าสู่ส่วนกลาง รายงานสถานะทั้งปัจจุบัน ข้อมูลในอดีต และแผนการฉีดในอนาคต 3) เปิดเผยสัญญาการส่งมอบวัคซีน การวางแผนในข้อ 2 จะเป็นจริงไม่ได้ หาเราไม่รู้วันที่วัคซีนจะถูกส่งมาให้ฉีด ตนขอเรียกร้องรัฐบาล ว่าจะต้องเปิดเผยทุกสัญญาที่รัฐบาลทำกับบริษัทผู้ผลิตวัคซีนให้ประชาชนทราบ และนำมาใช้ในการติดตาม วางแผนการบริหารสต็อกวัคซีน 4) เมื่อมีวัคซีนเพียงพอแล้ว ต้องทำให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีนได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องลงทะเบียน ใช้เพียงบัตรประชาชนเพื่อเข้ารับวัคซีนที่จุดใดก็ได้ ทำให้มีผู้เต็มใจไปฉีดวัคซีนมากขึ้น เร็วขึ้น และ 5) ใช้แรงจูงใจ ไม่ใช่บทลงโทษ เพื่อให้คนไปฉีดวัคซีนมากที่สุดและเร็วที่สุด

“ผมหวังว่าสิ่งที่ผมนำเสนอ จะสามารถช่วยให้รัฐบาลมีทางเลือกในการตัดสินใจมากขึ้น ผมหวังว่าพ่อแม่พี่น้องประชาชนที่กำลังลำบากอยู่วันนี้จะได้มีโอกาสเข้าถึงวัคซีนที่เร็วขึ้น จำนวนมากขึ้น หลากหลายมากขึ้น และฟรี ขอให้กำลังใจกับประชาชนทุกคนที่กำลังต่อสู้ดิ้นรนกับชีวิตของตัวเองอยู่ ให้กำลังใจกับบุคลากรสาธารณสุขที่อยู่หน้าด่าน ที่กำลังต่อสู้กับการแพร่ระบาด ที่กำลังฉีดวัคซีนเพื่อให้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้กลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติได้ ให้กำลังใจกระทรวงสาธารณสุขและผู้ปฏิบัติการในสถาบันวัคซีนด้วยครับ ขอให้ทุกท่านเร่งเจรจาหาวัคซีนที่มากขึ้น ที่หลากหลาย ที่เร็วกว่านี้ ให้กับพ่อแม่พี่น้องประชาชนคนไทย” นายธนาธร กล่าว