‘จตุพร’ ประกาศรุกทุกมิติ จ่อหนังสือถึงผบ. กองทัพอากาศ กองทัพเรือ ปลัดกลาโหม 31 พ.ค.

‘จตุพร’ ประกาศรุกทุกมิติ จ่อหนังสือถึงผบ. กองทัพอากาศ กองทัพเรือ ปลัดกลาโหม 31 พ.ค.

เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม มีการจัดเวทีไทยไม่ทนออนไลน์ โดย คณะสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทยเป็นวันปิดท้าย เนื่องในวาระครบรอบ “7 ปี รัฐประหาร”

ในตอนหนึ่ง นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติหรือ นปช. กล่าวบนเวที #ไทยไม่ทนออนไลน์ คณะสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย ว่า การเดินทางของคณะสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทยนั้นเราเดินทางด้วยความอดทน และจะเริ่มรุกในทุกมิติ

“การขับเคลื่อนภายนอกเพื่อจะไปปักหมุด ให้คนทั้งชาติได้แลเห็นว่า อะไรคือปัญหาของประเทศ แต่แน่นอนที่สุดขณะนี้ยังไม่ใช่เวลาของการชุมนุม แต่เรา ต้องการอธิบายให้ สังคมและประเทศนี้ได้รับรู้กันว่า ปัญหาของชาติอยู่ ณ จุดใด ในวันที่ 31 พฤษภาคมนี้ คณะไทยไม่ทนจะเดินทางไปที่กองบัญชาการกองทัพไทย เพื่อยื่นหนังสือถึง ผบ. กองทัพอากาศ กองทัพเรือ และปลัดกลาโหม เพื่อเรียกร้องให้ถอนตัวด้วยการลาออกจากตำแหน่งวุฒิสภา ส่วนวันที่ 1 มิถุนายนนั้น จะไปที่ศาลรัฐธรรมนูญและสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. เพื่อไปร้องขอให้ยุติบทบาทและลาออกจากตำแหน่งเหล่านี้ เพราะเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้องการสืบทอดอำนาจ

Advertisement

ศาลรัฐธรรมนูญนั้นเต็มไปด้วยความไม่สบายใจของประชาชน หลากหลายเรื่องราวที่มีการวินิจฉัย ดังนั้นนี่คือปัญหาหนึ่งและไม่ใช่เพิ่งเป็นปัญหา แต่เป็นปัญหาของประเทศไทย มาเป็นระยะเวลายาวนาน ก็จะไปเรียกร้องให้มีการลาออก” นายจตุพรกล่าว

นายจตุพรกล่าว ว่า ขณะเดียวกันในส่วนของ คณะกรรมการกกต. ในการเลือกตั้งทุกระดับทั้งระดับชาติและท้องถิ่น แม้กระทั่งการสรรหาส.ว. ไม่ได้ดำเนินการ อย่างสุจริต เที่ยงธรรม และมีความโปร่งใส เพราะข้อเท็จจริงนั้น การเลือกตั้งทุกระดับ มีการซื้อเสียงกันอย่างมโหฬาร

Advertisement

“สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่ว่าเลือกตั้งใหญ่เลือกตั้งซ่อม ปรากฏว่ากกต.ถูกใช้เป็นองค์กรการันตี ความสุจริตและเที่ยงธรรม ในการเลือกตั้ง การเลือกตั้งท้องถิ่นพื้นที่ยิ่งแคบ ค่าใช้จ่ายจะยิ่งสูง ซื้อหัวละเป็นพัน สองพัน สามพัน คนในแต่ละพื้นที่เขารู้ว่ามีการซื้อเสียง องค์กรที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบดำเนินการการเลือกตั้ง ให้เกิดความโปร่งใสและสุจริตเที่ยงธรรมนั้น กลับเป็นองค์กรเดียวที่ตาบอดมองไม่เห็นปัญหาของการทุจริตการเลือกตั้ง

ดังนั้นเวลานี้นักการเมืองทั้งหลาย เขาก็ต้องรู้ว่าเงินเท่านั้น ที่จะได้มาซึ่งอำนาจ จึงต้องร่วมมือและจับมือกันประสานงานประโยชน์กับกลุ่มทุน รวมกระทั่งการทุจริตฉ้อฉล ซึ่งพลเอกประยุทธ์ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่มีการทุจริตเพราะประกาศวาระแห่งชาติ 2 ครั้ง นั่นเท่ากับเป็นการยอมรับว่าการทุจริตมีอยู่จริง” นายจตุพรกล่าว

นายจตุพรกล่าวอีกว่า ทุนกับอำนาจ ณ วันนี้ เป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดเพราะต่างฝ่ายต่างเอื้อประโยชน์กัน แต่คนที่เสียประโยชน์ก็คือคนไทย ภายใต้ระบอบประยุทธ์นั้นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ถ้าเราต้องทลาย และรีเซ็ตประเทศไทยกันใหม่นั้นปัญหาของชาติมันอยู่ตรงไหน เราจะปล่อยปละละเลยกันแบบนี้ต่อไปไม่ได้

ด้านนายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชั่น กล่าวว่า
ที่ตนได้กล่าวหาพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2559 สรุปความคือ 5 ปีจนถึงเดือนพฤษภาคม 2564 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ป.ป.ช.ได้ตอบหนังสือตนมานั้น ใช้เวลา 5 ปีในการตรวจสอบเบื้องต้น โดยยังไม่มีการตั้ง คณะอนุกรรมการไต่สวน

โดยสรุปได้ว่าที่ตนได้กล่าวหา พลเอกประยุทธ์และพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรี และผู้อำนวยการองค์การทหารผ่านศึก ทุจริตโครงการขุดลอกคลองต่างๆ หลายโครงการ ซึ่งเป็นลักษณะของการไปรับงานแบบพิเศษ

โดยหลังจากการยึดอำนาจในเดือนพฤษภาคม ต่อมาในเดือนมิถุนายนก็ดันเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุม ซึ่งตอนนั้นใช้อำนาจ ให้หัวหน้าคสช. ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่เหมือนเป็นคณะรัฐมนตรี

โดยในหนังสือที่ตอบกลับมานั้นป.ป.ช.บอกว่า ทั้งพลเอกประยุทธ์และพลเอกประวิตร ทำตามหน้าที่ในฐานะ คณะรัฐมนตรีมีมติ รับทราบเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินตามปกติ

แต่ในส่วนของผู้อำนวยการองค์การทหารผ่านศึกนั้น ป.ป.ช.บอกว่า ตรวจสอบแล้วมีหลักฐานเพียงพอที่จะดำเนินการต่อไปได้จึงมีมติรับเรื่องไว้พิจารณา พร้อมให้ตั้งคณะกรรมการไต่สวนต่อไป

จากกรณีนี้หมายความว่าในระดับนโยบาย ตัวนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีไม่ผิด แต่เจ้าหน้าที่ผิด พร้อมมองว่าเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น ป.ป.ช.ไม่สามารถเอาผิดได้ในระดับรัฐมนตรีที่เป็นคนออกนโยบาย

“ข้อกล่าวหาที่ผมได้กล่าวหาไว้เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2559 ใช้เวลาในการตรวจสอบนานถึง 5 ปี โดยในรายงานผลการตรวจสอบของกรมชลประทาน ที่ไปจ้างองค์การทหารผ่านศึก ดำเนินโครงการภายใต้โครงการ เงินกู้จำนวน 48 รายการ คิดเป็นร้อยละ 6.3 จำนวนเงิน 700 กว่าล้านบาท สำนักงานชลประทานที่ 6 จังหวัดขอนแก่น ได้ว่าจ้างองค์การทหารผ่านศึก จำนวน 24 รายการ ดำเนินการแล้วเสร็จเพียง 3 รายการ และยังไม่ได้ดำเนินการให้แล้วเสร็จอีก 21 รายการ คิดเป็นร้อยละ 87.50
แล้วไปบอกว่าตัวเองมีความสามารถทำได้ แต่ทำไม่ได้เพราะไปจ้างช่วง ซึ่งตามระเบียบแล้ว เขาห้าม เขาอุตส่าห์ให้สิทธิพิเศษกับองค์การทหารผ่านศึก องค์การทหารผ่านศึกต้องทำเองทั้งหมด แต่ไปจ้างคนอื่นต่อ มีหลักฐานความเสียหายหลายพันล้านบาท และการที่ชงเรื่องเข้าไปในคณะรัฐมนตรีจะปฏิเสธได้อย่างไร เพราะว่า ในประวัติศาสตร์ชาติไทยไม่เคยมีรัฐบาลใดที่ให้สิทธิพิเศษในการขุดลอกคูคลอง กับองค์การทหารผ่านศึกมาก่อน

ในรัฐบาลปกตินั้นไม่เคยมีใครกล้า ให้สิทธิ์นี้กับองค์การทหารผ่านศึกไปรับโครงการเป็นร้อยล้านพันล้าน โดยที่ตัวเองไม่มีเครื่องมือ ไม่มีขีดความสามารถ แล้วรู้ไหมว่าที่ได้สิทธิพิเศษนั้น มันเป็นการจัดซื้อจัดจ้างแบบพิเศษ ซึ่งหมายความว่าไม่ต้องมีคู่แข่ง ดังนั้นคนที่ออกนโยบายที่นั่งหัวโต๊ะ ทั้งประยุทธ์และพลเอกประวิตร บอกว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องจากการไปทำสัญญานั้นอยากถามว่า หากไม่มีการอนุมัติ ผู้อำนวยการองค์การทหารผ่านศึกจะมีอำนาจไปดำเนินการหรือไม่” นายวีระกล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image