ท่าทีของ นายวิทยา แก้วภราดัย ที่ออกมาเป็น “หลังพิง” ให้กับ นายเสรี สุวรรณภานนท์ และ นายวันชัย สอนศิริ
หนักแน่น และมั่นคง
ยิ่งได้ยินเสียงสำทับมาจาก นายถาวร เสนเนียม ยิ่งทำให้ “หลังพิง” มากด้วยความแข็งแกร่ง
แนวโน้ม “การเลือกตั้ง”จะเป็นอย่างไร เริ่มชัด
เป็นไปได้ว่า 1 กระทรวงมหาดไทยจะต้องเข้ามามีบทบาทอย่างเทียมบ่าเทียมไหล่กับ กกต.
1 ทุกอย่างอยู่ในการกำกับโดย “คสช.”
เหตุผลของ นายวิทยา แก้วภราดัย และ นายถาวร เสนเนียม มาจากความจัดเจน 2 ความจัดเจน
เป็นความจัดเจนในฐานะ “นักการเมือง”
เป็นความจัดเจนในฐานะ มีบทบาทในการขวางการเลือกตั้งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2557
ทำให้ไม่วางใจต่อ “กกต.”
การสลับกันแสดงบทบาทระหว่าง นายเสรี สุวรรณภานนท์ นายวันชัย สอนศิริ กับ นายวิทยา แก้วภราดัย นายถาวร เสนเนียม
จึงสำคัญและทรงความหมาย
ไม่เพียงเพราะสะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ยึดโยงของแกนนำ “กปปส.” กับ นายเสรี สุวรรณภานนท์ และ นายวันชัย สอนศิริ
หากเท่ากับชี้ทิศทางของ “กปปส.” ในอนาคต
เพราะทั้ง นายวิทยา แก้วภราดัย และ นายถาวร เสนเนียม ยังเดินหน้าในกระบวนการทางการเมืองผ่าน “การเลือกตั้ง”
จึงให้ความสนใจกับกฎหมาย “เลือกตั้ง”
ขณะเดียวกัน บรรดากปปส.เหล่านี้ยังยืนยันสมาชิกภาพแห่งพรรคประชาธิปัตย์ของตนอย่างแน่วแน่และมั่นคง
นั่นก็คือ แสดงบทบาทในฐานะ “พรรคประชาธิปัตย์”
การเน้นย้ำจุดยืนและท่าทีเช่นนี้จากบรรดา “แกนนำ” คนสำคัญอันเคยมีบทบาทใน “กปปส.”
ทำให้บังเกิด “ความร้อนแรง”
มิได้เป็นความร้อนแรงเพราะยืนอยู่ในแนวเดียวกันกับ นายเสรี สุวรรณภานนท์ และ นายวันชัย สอนศิริ
หากยังร้อนแรงเพราะดำเนินไปอย่าง “สวนทาง”
สวนทางกับระดับรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อย่าง นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ นายนิพิฎฐ์ อินทรสมบัติ และ นายสาธิต ปุตุเดชะ
ในพรรคประชาธิปัตย์จึง “มาคุ” ขึ้นมาอีก
มาคุเหมือนเมื่อตอน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศไม่ยอมรับต่อ “ร่างรัฐธรรมนูญ”
สวนทางกับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ
กว่ากฎหมายเลือกตั้งจะออกมา กว่าการเลือกตั้งจะเดินทางมาถึง ภายในพรรคประชาธิปัตย์ยิ่งร้อนแรง
ร้อนแรงถึงขั้น “ปรอทแตก”
