“หมอเรวัต” อัด “บิ๊กตู่” อย่าพูดลอยๆ 120 วัน เปิดประเทศ ด้าน รมช.สธ.ชมนายกฯ กล้าประกาศ ยันแอสตร้าฯ ส่งมอบวัคซีน 61 ล้านโดส ตามกำหนด
เมื่อเวลา 10.40 น.วันที่ 17 มิถุนายน ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม วาระพิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา เรื่องโรคติดเชื้อโควิด-19 ของ นพ.เรวัต วิศรุตเวช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย ถามนายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ว่า โควิดระบาดในประเทศตั้งแต่เดือนมกราคม 2563 จนถึงวันนี้มีผู้ติดเชื้อสะสมประมาณ 2 แสนราย ผู้เสียชีวิตประมาณ 1,555 ราย ที่สำคัญในการระบาดระลอกที่ 3 ร้ายแรงมาก และสถานการณ์วันนี้ต้องบอกว่าประชาชนกำลังอยู่ในอันตราย และกรณีที่ผู้นำบริหารผิดพลาดแล้วเกิดผลกระทบร้ายแรงต่อประชาชน ทั้งสุขภาพและความหายนะทางเศรษฐกิจ การแสดงความรับผิดชอบคือต้องลาออกจากตำแหน่ง การที่ผู้นำประเทศออกมาพูดว่า “ผมขอรับผิดชอบเอง” บ่อยๆ แล้วไม่มีการกระทำอะไรที่เป็นผลดีติดตามมา คำพูดเหล่านั้นไม่มีความหมายอะไร และไม่สามารถเรียกความเชื่อมั่นใดๆ เช่น การประกาศว่าให้วันที่ 7 มิถุนายน เป็นวาระแห่งชาติ แต่ปรากฎว่าคนไม่ได้ฉีดวัคซีน มีการเลื่อนฉีนวัคซีนออกไป และมีคนจำนวนมากได้รับความเดือดร้อนเพราะไม่มีวัคซีนฉีด และเมื่อวันที่ 16 มิถุนายนที่ผ่านมานายกฯมาประกาศว่า อีก 120 จะเปิดประเทศ หากพูดลอยๆ นั้นคำถามคือจะเปิดอย่างไร มีแผนที่ชัดเจนอย่างไร
นพ.เรวัตถามต่อว่า ตนคงไม่กดดันที่จะต้องมาเปิดสัญญา ในการที่รัฐบาลทำสัญญาไว้กับบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า แต่พอจะทราบหรือไม่ว่าหากบริษัทฯไม่สามารถส่งมอบวัคซีนได้ตามกำหนด และทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อประชาชน จึงอยากทราบว่า ในเงื่อนไขสัญญาสามารถปรับหรือฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้หรือไม่ และสามารถเปิดเผยสัญญาได้หรือไม่ เพื่อเกิดความโปร่งใส นอกจากนั้น ตนได้รับการเรียกร้องจากประชาชนบางกลุ่มที่อยากให้รัฐบาลเยียวยาทั้งเรื่องการชำระภาษี ประเภท อาหารและเครื่องดื่ม ด้วยการจ่ายเป็นงวดๆ หรือลดการจัดเก็บภาษีบางประเภท หรือออกมาตรการแก้ไขกฎหมายให้ขายแอลกอฮอล์ให้ร้านอาหาร ให้โฆษณา รวมถึงขายออนไลน์ หรือซื้อกลับบ้านได้หรือไม่ เพื่อช่วยลดภาระผู้ประกอบการ
ด้านนายสาธิตชี้แจงว่า สำหรับสถานการณ์โควิดที่กำลังระบาดอยู่ในระลอกที่สาม เป็นสถานการณ์ที่หนักกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา และเป็นสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกับหลายประเทศ ซึ่งการควบคุมโรคกับการรณรงค์ฉีดวัคซีนก็ทำควบคู่กันไป และการที่นายกฯได้ประกาศ ว่าจะกำหนดการเปิดประเทศภายใน 120 วัน ซึ่งก็เป็นการประกาศให้มีความชัดเจนว่า 4 เดือนต่อจากนี้รัฐบาลจะดำเนินการทั้งการควบคุมโรคและฉีดวัคซีนให้ได้ครอบคลุมจำนวน 70 เปอร์เซ็นต์ ตามแผนที่ได้มีการจัดซื้อ จัดหาวัคฉีนทั้งวัคซีนหลักและวัคซีนทางเลือก รวมทั้งการปฏิบัติหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุขและภาคีเครือข่ายในการควบคุมโรคคู่ขนาดกัน
“ความชัดเจนที่นายกฯ กล้าประกาศเพื่อเป็นขวัญ กำลังใจของคนไทยทั้งประเทศว่าเราจะต้องเดินหน้าสู่กับโควิดไปด้วยกัน และขอเรียนว่า เรื่องโควิดและวัคซีน ไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของคนไทยทุกคนที่ต้องร่วมมือกัน การเดินหน้าไปสู่การเปิดประเทศได้ มีหลายปัจจัย ซึ่งไม่ใช่แผนการดำเนินงานที่จะเกิดได้จากฝั่งผู้มีอำนาจรัฐ หรือรัฐบาลฝ่ายเดียว ในแผนทั้งหมด ต้องติดตามว่านายกฯ จะประกาศเป็นแผนปฎิบัติการอย่างไร ซึ่งอาจจะมีความแตกต่างกันในแต่ละส่วน แต่การจัดการในเรื่องนี้ การที่จะเปิดประเทศให้ได้ภายใน 120 วัน ผมเข้าใจว่า บนพื้นฐานของการจัดหาซื้อวัคซีนจำนวนประมาณ 100 ล้านโดส และสถานการณ์การติดเชื้อของคนไทยในต่างจังหวัดก็เริ่มดีขึ้น เพียงแต่เราจะต้องมาควบคุมคลัสเตอร์ในกทม.และปริมณฑล ถ้าเราจัดการควบคุมไปในสองเรื่องนี้ได้ ผมคิดว่าเป้าหมายจะประสบความสำเร็จ เพราะฉะนั้น การประกาศของนายกฯ ก็ถือว่าเป็นการประกาศเพื่อความชัดเจนว่า รัฐบาลเป็นหลักที่จะขอความร่วมมือคนไทยทั้งประเทศที่จะเดินหน้าร่วมกันในการสู้กับโควิดและให้เสร็จสิ้นภายใน 120 วัน” นายสาธิตกล่าว
รมช.สาธารณสุขกล่าวต่อว่า สัญญาที่แอสตร้าเซนเนก้าทำกับเรามีความละเอียดอ่อนอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการเจรจา เรื่องจำนวน วันเวลาที่ชัดเจน และเขาไม่ได้ขายให้เราประเทศเดียว ดังนั้น การเปิดเผยข้อมูลต่างๆ ก็ต้องเป็นความร่วมมือระหว่างเรากับบริษัท ทั้งนี้เชื่อมั่นว่า แอสตร้าเซนเนก้าจะส่งวัคซีนได้ตามกำหนด โดยเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน ส่งวัคซีนมา 6 แสนโดส และส่งเพิ่มในสัปดาห์หน้าอีก 1 ล้านโดส รวมทั้งหมดที่ส่งมอบแล้วประมาณ 4 ล้านโดส เพราะฉะนั้นตนยังมั่นใจว่าบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าจะปฎิบัติตามแผนการจัดสรรวัคซีนฉีดให้คนไทย 61 ล้านโดส ตามที่ตกลงกัน
นายสาธิตกล่าวว่า ตนต้องขอบคุณ นพ.เรวัต ที่นำเรื่องผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบมาพูดในสภา ในภาพรวม ศบค.ได้รับเรื่องในทุกกลุ่มที่มีความเดือดร้อนและได้พิจารณาเยียวยาทุกกลุ่ม แต่ต้องยอมรับว่าการเยียวยาของรัฐบาลยังมีบางกลุ่มที่ยังเข้าไม่ถึง ดังนั้น จะมีการนำเรื่องนี้เข้า ศบค. เพื่อพิจารณาและนำเข้า ครม. เพื่อพิจารณาหามาตรการว่าเยียวยาได้แค่ไหน อย่างไรตามหลักเกณฑ์