โวย! พ.ร.บ.อำนวยความสะดวกไม่สะดวกจริง เอกชนแฉรัฐดองคำขอขึ้นทะเบียน

เอกชนโวย พ.ร.บ.อำนวยความสะดวกไม่สะดวก ร้องรัฐดองคำขอขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายทางการเกษตร

เมื่อวันที่ 8 กันยายน ที่ห้องประชุมชั้น 5 สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) ถนนพิษณุโลก นายโชติ ตราชู ที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานหาทางออกกรณีมีผู้ประกอบการเอกชนร้องเรียนปัญหาการไม่ได้รับความสะดวกจากการบังคับใช้พระราชบัญญัติอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ.2558 ในการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตราย อาทิ ยาฆ่าแมลง ปุ๋ย ในการหารือมีการเชิญสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หารือร่วมกับตัวแทนผู้ประกอบการ อาทิ สมาคมการค้าผู้ผลิตปุ๋ยไทย สมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจการเกษตรไทย สมาคมธุรกิจปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยชีวภาพไทย สมาคมคนไทยธุรกิจเกษตร สมาคมอารักขาพืชไทย สมาคมค้าเมล็ดพันธุ์ไทย ผู้ประกอบการได้ชี้แจงถึงความยุ่งยากของขั้นตอนในการออกในอนุญาตด้านการเกษตรที่ต้องขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายว่า มีความยุ่งยากซับซ้อน บางครั้งต้องใช้ระยะเวลาขึ้นทะเบียน 2-3 ปี และต้องมีค่าใช้จ่ายในการทดสอบสูง ทำให้รายการคำขอขึ้นทะเบียนที่มีเอกสารครบถ้วนแต่รอการพิจารณาตั้งแต่ปี 2556-ปัจจุบัน รวมกว่า 4,000 คำขอ ที่ยังไม่ถูกพิจารณา ซึ่งผู้ประกอบการมองว่าความล่าช้าในการขึ้นทะเบียนอาจจะขัดกับพระราชบัญญัติอำนวยความสะดวก หากรัฐบาลไม่มีข้อสรุปจะมีการยื่นฟ้องกรมวิชาการเกษตรต่อศาลปกครอง ในประเด็นไปปฏิบัติตามพระราชบัญญัติอำนวยความสะดวก ซึ่งถือว่าเป็นกรณีแรกๆ ที่เอกชนใช้พระราชบัญญัติอำนวยความสะดวกฯ ยื่นฟ้องหน่วยงานของรัฐ

นายโชติแถลงหลังการหารือว่า ได้รับมอบหมายจากวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีให้หารือกับภาคเอกชน โดยมอบนโยบายว่าในเมื่อมี พ.ร.บ.อำนวยความสะดวกแล้ว ขอให้อยู่บนการแข่งขันที่เป็นธรรมและเท่าเทียมกัน แต่การหารือในวันนี้ยังไม่มีข้อยุติ ซึ่งจะต้องนัดหารืออีกครั้ง เพราะบางประเด็นผู้ประกอบการกับราชการยังมีมุมมองต่างกัน ซึ่งผู้ประกอบการยืนยันว่ามีคำขอขึ้นทะเบียนที่ตกค้างว่า 4,000 คำขอ ซึ่งเป็นคำขอเดิมที่ยื่นขอก่อนการมี พ.ร.บ.อำนวยความสะดวก ที่บางรายรอคิว 2-3 ปี ก็ยังไม่ได้รับการอนุมัติเพราะขณะนั้นยังเป็นเรื่องของการใช้ดุลพินิจ ซึ่งผู้ประกอบการต้องการให้สะสางของเก่าให้หมด ส่วนการยื่นเรื่องใหม่ก็มีระยะเวลากำหนดที่แน่นอนและทุกรายทราบคิวของตัวเองว่าอยู่ในลำดับที่เท่าไร แต่ทั้งนี้ความรวดเร็วในการอนุมัติตาม พ.ร.บ.อำนวยความสะดวกก็ขึ้นอยู่กับผลิตภัณฑ์ที่มีการระบุอยู่ในกฎหมาย ดังนั้นผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดจะมีระยะเวลาไม่เท่ากัน บางชนิดจะต้องมีการทดลอง เช่น สารเคมีปราบวัชพืช จะต้องมีการทดลองจริงว่ามีพิษ มีสารตกค้างหรือไม่ ซึ่งผู้ประกอบการยอมรับได้หากต้องมีระยะเวลาในการทดลอง เพื่อให้เกิดความมั่นใจ สำหรับกรณีที่ผู้ประกอบการอาจจะรวมตัวฟ้องศาลปกครองจากการไม่ได้รับความสะดวกจาก พ.ร.บ.อำนวยความสะดวกนั้น ที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คงไม่มีการฟ้อง เพราะสามารถพูดคุยและร่วมมือกันได้ว่าจะสะสางอย่างไร

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image