หากยึดกุมเอากรณีการปรับ ”กลุ่ม 4 กุมาร” ออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค รองหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค ความเป็นไปได้ในการปรับตำแหน่งใน “ครม.” ย่อมต้องตามมา
นั่นก็คือ กรณีของ นายอุตตม สาวนายน กรณีของ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ กรณีของ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์
เมื่อพ้นจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค นายอุตตม สาวนายก ก็พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี เมื่อพ้นจากตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ ก็พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี
เมื่อพ้นจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ก็พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี
แม้การปรับเปลี่ยนครั้งใหม่ด้านหลักของการเปลี่ยนแปลง คือ การพ้นจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคของ นายอนุชา นาคาศัย โดยมี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เข้าไปแทนที่
ถามว่าความละเอียดอ่อนอย่างยิ่งจากกรณีของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อยู่ตรงไหน
คำตอบคืออยู่ตรงที่ตำแหน่งรัฐมนตรีของเลขาธิการพรรคอื่น
ไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบไกลไปถึงตำแหน่งที่ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ได้รับในฐานะเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย นั่นก็คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
เอาใกล้ๆตำแหน่งที่ นายเฉลิมชัย ผิวอ่อน ได้รับในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ได้รับการปูนบำเหน็จก็พอ
นั่นคือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ถามว่า ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะรู้สึกอย่างไรในเมื่อ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ก็เป็นเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ
พรรคพลังประชารัฐที่มี ส.ส.มากกว่าพรรคประชาธิปัตย์
ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อาจไม่รู้สึกอะไร แต่คนที่แวดล้อม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ต่างหากที่ยากจะยอมรับได้อย่างเซื่องๆ
ตามความเคยชินในทางการเมือง ไม่ว่ายุคก่อน ไม่ว่ายุคหลังรัฐประ หารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 นี่คือปัจจัยอันละเอียดอ่อนยิ่งที่จะนำไปสู่การปรับครม.
ทั้งไม่เพียงแต่จะเป็นการปรับ ”ภายใน” พรรคพลังประชารัฐเท่านั้น หากแต่ยังกระทบกระแทกไปยังพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆด้วย
นี่จะกลายเป็นโจทย์ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต่อไป