ไม่ว่าอดีตกกต.ระดับ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ไม่ว่าอดีตที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีระดับ นายสุขุม นวลสกุล มองไปยังการลงมติต่อร่าง แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจำนวน 13 ฉบับแล้ว
ก็แสดงอาการ ”ถอนหายใจ” และมองเห็นเค้าลางแห่งความยุ่งเหยิงที่จะตามมา
โดยเฉพาะจากท่าทีในการลงมติของ “ส.ว.”
ที่เคยมองกันว่า มีการจับมือระหว่าง 250 ส.ว.กับส.ส.พรรคพลังประชารัฐมีความเด่นชัดเป็นอย่างยิ่งว่า สภาพมิได้ดำเนินไปตามความคาดหมาย
เนื่องจากร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับที่เสนอโดย นายไพบูลย์ นิติตะวัน และคณะอันถือว่า เป็นของพรรคพลังประชารัฐ ได้ถูกส.ว.ลงมติปฏิเสธไม่ยอมรับ
เป็นท่าทีเดียวกันกับที่ ส.ว.ส่วนใหญ่แสดงออกต่อร่างของพรรคภูมิใจไทย ร่างของพรรคชาติไทยพัฒนา ร่างของพรรคร่วมฝ่ายค้าน
ตรงกันข้ามมีเพียงร่างของพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้นที่เห็นชอบ
สะท้อนออกอย่างเด่นชัดว่า ส.ว.ส่วนใหญ่มีท่าทีปฏิเสธและแสดงปฏิกิริยาต่อพรรคพลังประชารัฐโดยตรง
จากการลงมติในที่ประชุมรัฐสภาเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน จึงนำไปสู่บทสรุปว่า สายสัมพันธ์ระหว่าง 250 ส.ว.กับพรรคพลังประชารัฐน่าจะมีรอยร้าวในทางความคิดเกิดขึ้น
และไม่น่าจะมาจากบางมาตราที่ขยายขอบเขตอำนาจของ ส.ส.ไปยังร่างพ.ร.บ.งบประมาณอย่างที่เข้าใจกัน
ทั้งๆที่ในความเป็นจริง ระหว่างส.ว.กับพรรคพลังประชารัฐถือได้ว่า เป็นการแบ่งบทบาทระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อย่างเด่นชัด
การลงมติในที่ประชุมรัฐสภาครั้งนี้กลับปรากฏบทบาทอันโดด เด่นของ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ออกมา
ทั้งเป็นบทบาทที่โน้มเอียงไปทาง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
คล้อยหลังความกังขาไม่นานนักก็มีแถลงจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประสานกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ว่ามิได้ติดใจในการลงมติเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน
นั่นก็คือ ยืนยันว่า 2 ป.ยังเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเหมือนเดิม
กระนั้นความกังขาก็ยังดำรงอยู่ทั้งภายในพรรคพลังประชารัฐ และในแวดวงทางการเมืองโดยรวม
เป็นความกังขาว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เล่นบทอะไร