“เต้น” ถามแรง “นายกฯจะฮาไปไหน ชาวบ้านฉิบหายกันหมดแล้ว…”

“เต้น” ถามแรง “นายกฯจะฮาไปไหน ชาวบ้านฉิบหายกันหมดแล้ว…” ร่ายยาวปัญหาความผิดพลาดของรัฐบาล 

เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตนักเคลื่อนไหวทางการเมือง อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เขียนข้อความเฟซบุ๊ก แสดงความเห็นถึงบุคลิกนายกรัฐมนตรีและท่าทีต่อการบริหารงาน ระบุว่า

นายกฯ จะฮาไปไหน ชาวบ้านฉิบหายกันหมดแล้ว การออกประกาศปิดแค้มป์ก่อสร้าง ห้ามนั่งกินอาหารในร้านของรัฐบาลที่ลักหลับตอนตี 1 คืนวันเสาร์ที่ผ่านมา สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วประเทศ ทั้งจากคนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงและประชาชนที่รับไม่ได้กับวิธีบริหารจัดการ

ปีกว่า ๆ ที่ผ่านมา เราเห็นข่าวพัฒนาการของเชื้อโรคสายพันธุ์ต่าง ๆ ที่น่าเจ็บปวดก็คือคนไทยไม่เคยเห็นพัฒนาการในการรับมือวิกฤตโรคระบาดของรัฐบาลนี้ เรื่องเดิม ๆ ปัญหาเก่า ๆ ที่เราเคยวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลมาตลอดก็ยังคงเป็นปัญหาให้พูดถึงกันอยู่ ทั้งการจัดหา การกระจายวัคซีน การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ท่าทีของผู้นำรัฐบาลและการสื่อสารของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งไม่มีความชัดเจน ครบถ้วน และไม่ตรงไปตรงมากับประชาชน

Advertisement

ถึงวันนี้ยังไม่มีใครประเมินได้ว่าสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 จะมีบทสรุปอย่างไร แต่ผมเชื่อว่าในใจคนไทยส่วนใหญ่สรุปแล้วล่ะครับว่ารัฐบาลชุดนี้ นายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่มีปัญญาแก้ไขปัญหาได้แน่ ๆ

ไม่ได้ตั้งใจจะพูดให้ตกใจกันไปใหญ่โตนะครับ แต่ที่ชี้ประเด็นให้เห็นกันตรง ๆ เพราะถึงวันนี้รัฐบาลยังสร้างความเชื่อมั่นไม่ได้เลย แต่ละเรื่องแต่ละมาตรการที่ประกาศเป็นเพียงคำพูดปากเปล่า ไม่มีแผนรองรับ ไม่มีรูปธรรมคืบหน้าให้เห็นอย่างชัดเจน

การจัดซื้อวัคซีนที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ว่าทำไมไม่เข้าร่วมโคแวกซ์ (Covax) ทำไมไม่จัดหาให้หลากหลายในยี่ห้อที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับ กลับพุ่งเป้าแต่ “แอสตร้า เซนเนก้า” ก็ได้รับคำชี้แจงว่าเป็นวัคซีน “ม้าเต็ง”

Advertisement

แต่วันนี้ “ม้าเต็ง” ที่พูดถึงกลายเป็นวัคซีน “ม้าแกลบ” มาบ้าง ไม่มาบ้าง หยุด ๆ เลื่อน ๆ ไม่ได้จำนวนตามเป้า จากเดิม “แอสตร้า เซนเนก้า” จะเป็นวัคซีนตัวหลัก ก็กลายเป็น “ซิโนแวค” ทำท่าจะเป็น “ม้ามืด” แซง “ม้าเต็ง” เพราะมีการสั่งซื้อเพิ่มปริมาณขึ้นมาเรื่อย ๆ

ถามมากเข้าก็อ้างว่าการจัดหาวัคซีนไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เพราะตลาดเป็นของผู้ขาย ผมว่าไม่ใช่ล่ะครับ ตลาดเป็นของผู้ซื้อที่มีวิสัยทัศน์ อ่านเกมขาด มีชั้นเชิงในการเจรจาและกล้าตัดสินใจมากกว่า แต่เมื่อรัฐบาลเลือกเดินทางนี้แล้วเกิดปัญหา ก็พยายามแก้ปัญหาเฉพาะหน้าจนกลายเป็นวัคซีนสารพัดยี่ห้อเพิ่งมาขึ้นทะเบียนเอาเมื่อต้นปีที่ผ่านมา แล้วจัดส่งได้ในช่วงปลายปีนี้

กรอบเวลา 120 วันที่นายกฯ ประกาศจะเปิดประเทศ จึงเป็นช่วงเวลาที่เราจะมีวัคซีนเพียง “แอสตร้า เซนเนก้า” “ซิโนแวค” “ซิโนฟาร์ม” เพียงบางส่วนเท่านั้น “โมเดอร์นา” “ไฟเซอร์” หรืออื่น ๆ ล้วนจะมาช่วงปลายปี ซึ่งเลยกรอบเวลา 120 วัน ทั้งการประกาศฉีดวัคซีนปูพรมตั้งแต่ 7 มิถุนายน และเปิดประเทศ 120 วัน จึงเป็นเพียงความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ที่รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีใช้วิชากะล่อนศาสตร์ พูดให้ประชาชนเกิดความหวังไปวัน ๆ

มาวันนี้ปิดแคมป์คนงาน เบรคร้านอาหาร ถ้าทำแล้วมันจบได้จริงก็พอมีความหวัง แต่นี่ทำแล้วก็ไม่มีหลักประกันนะครับ เพราะหลายมาตรการหลายเหตุการณ์ที่ผ่านมาก็เห็นอยู่แล้วว่ารัฐบาลประกาศอะไรแล้วทำไม่ได้ตามนั้น ที่สำคัญคือท่านคิดไม่เสร็จ นึกจะประกาศหยุดโน่นหยุดนี่ก็ทำ แต่ไม่ได้มาพร้อมมาตรการเยียวยา สั่งปิดไปก่อนแล้วคิดเยียวยากันทีหลัง ถ้ามันเป็นรอบแรก ๆ ยังพอว่า แต่นี่เขาเจ็บหนักมาแล้วปีกว่า ๆ จะเหลือสักกี่รายกันที่รอดไปได้หลังจากมีการเปิดประเทศเปิดเศรษฐกิจ วิธีคิด วิธีทำ ผิดฝาผิดตัว กลับหัวกลับหางกันไปหมด

ร้านอาหารถ้าคิดจะห้ามนั่งท่านควรสงสัญญาณให้เขาตั้งหลักล่วงหน้า ไม่ใช่ย่องมาประกาศกันตอนตี 1 แบบนี้ใครเขาจะตั้งตัวทัน

ส่วนแคมป์คนงานดันบอกล่วงหน้า 2 วัน กว่าจะมีคำสั่งปิด แรงงานนับหลาย ๆ พันชีวิตคงกระจายออกจากกรุงเทพฯ กลับภูมิลำเนากันไปทั่ว ซึ่งตรงนี้คาดการณ์ว่าน่าจะเป็นเจตนาแท้จริงของรัฐบาลมากกว่า คือการลดอัตราผู้ป่วยในกรุงเทพฯ จากคลัสเตอร์แคมป์คนงานก่อสร้าง แล้วก็มีพื้นที่เวลาให้คนงานเหล่านั้นไหลไปต่างจังหวัด ซึ่งก็ถือเป็นการไปตายเอาดาบหน้าเพราะกลับบ้านไปแล้วก็ไม่มีงานทำ แต่ละพื้นที่เขาก็มีมาตรการควบคุมโรคของเขาอยู่เหมือนกัน เกิดติดเชื้อขึ้นมาก็ไม่รู้ว่าแต่ละโรงพยาบาลแต่ละกลไกการแพทย์ซึ่งมีงานหนักอยู่แล้วในภูมิภาคจะรับมือกันไหว เกิดเป็นปัญหาใหม่อีกหรือไม่? ทั้งหมดทั้งหลายเรื่องนี้มีเหตุสำคัญประการเดียว คือรัฐบาลนี้ไม่สามารถจัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพมาได้มากพอและทันเวลาทันสถานการณ์

บางคนก็บอกว่าวิพากษ์วิจารณ์อย่างเดียว เสนอทางออก เสนอทางแก้ปัญหากันไปบ้างซิ ผมก็พูด หลาย ๆ คนก็พูดมาต่างกรรมต่างวาระนะครับถึงข้อเสนอต่าง ๆ แต่ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ไม่อยากจะเสนออะไรแล้วเพราะไม่เห็นสมองของผู้นำรัฐบาล

โควิดน่ะมันกินปอดประชาชน

ไม่รู้ไปกินสมองผู้มีอำนาจเข้าไปด้วยหรือเปล่า?

ท่าทีที่แสดงออกก่อนวันที่จะมีประกาศราชกิจจานุเบกษายิ่งเป็นการไปตอกย้ำความเจ็บปวดให้กับประชาชน การหัวเราะต่อกระซิกของนายกรัฐมนตรีและบรรดาคนใหญ่คนโตทั้งหลาย การพูดเล่นพูดหัวราวกับว่าบ้านเมืองนี้ไม่มีใครกำลังเจ็บ ไม่มีใครกำลังรอความตาย ไม่มีใครกำลังเจ๊งพินาศวอดวายจากความไร้ศักยภาพของรัฐบาล คำว่า “นะจ๊ะ” ซึ่งเป็นคำสุภาพ เป็นคำหวาน จึงกลายเป็นคำน่ารังเกียจของชาวบ้านไปแล้วในปัจจุบัน

เอากันตรง ๆ เลยนะครับ ผมว่ามาถึงวันนี้รัฐบาลไม่ต้องไปคิดอะไรพิศดารแล้ว ไม่ต้องไปหามาตรการแก้ปัญหาโน่นนั่นนี่หลายมิติให้ประชาชนเวียนหัว เพราะถึงที่สุดท่านก็ทำไม่ได้ ฟันธง! กำปั้นทุบดินไปเลยครับ ไปเอาวัคซีนมา หาเข้ามาทันที หาเข้ามาเดี๋ยวนี้ หาเข้ามาให้หลายยี่ห้อ ไม่ใช่นั่งรอแต่ “แอสตร้า เซนเนก้า” แล้วสั่ง “ซิโนแวค” เข้ามาเพิ่มอยู่เรื่อย ๆ

ตกลงการที่มีบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์เป็นฐานการผลิต “แอสตร้า เซนเนก้า” อยู่ในประเทศไทยก็ไม่ได้เห็นว่าเป็นแต้มต่อที่จะทำให้คนไทยได้ฉีดวัคซีนเร็วขึ้นมากขึ้น ทางสยามไบโอไซเอนซ์เขาพูดชัดมาตลอดว่าเขาเป็นเพียงเอกชนผู้รับจ้างผลิตให้กับ “แอสตร้า เซนเนก้า” เท่านั้น ใครจะได้รับวัคซีนกี่โดสต่อเดือนต่อวันเป็นเรื่องระหว่างรัฐบาลกับ “แอสตร้า เซนเนก้า” สยามไบโอไซเอนซ์ไม่เกี่ยว

เรื่องนี้ถ้าเป็นแผนระยะยาวไม่มีใครว่าล่ะครับ มีโรงงานผลิตวัคซีนอยู่ในประเทศไทยก็เป็นเรื่องดี แต่สถานการณ์เฉพาะหน้าที่มันวิกฤตมากขึ้นมีคนตายมากขึ้นทุกวันแบบนี้รัฐบาลล้มเหลวในการวางแผนตั้งแต่ต้น

ณ วันที่พูดอยู่นี้ยังไม่รู้ว่ามาตรการเยียวยาจะออกมาอย่างไร หรือต่อไปนี้จะมีการสั่งปิดพื้นที่ปิดกิจการประเภทใดอีกหรือไม่ แต่ขอให้นายกรัฐมนตรีได้ตระหนักรับรู้นะครับว่า ทุกนาทีที่ผ่านไป ทุกความผิดพลาดที่ท่านทำ เป็นการซ้ำเติมชีวิตของประชาชนที่บาดเจ็บสาหัสอยู่แล้วให้หนักมากขึ้น ๆ ทุกที

สถานการณ์มาถึงวันนี้ท่านยังหัวเราะกันอยู่ได้ ผมก็ไม่มีอะไรจะหวังเหมือนกันฮะ พูดเปิดใจกันเลยนะครับ ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากเปลี่ยนรัฐบาล เปลี่ยนผู้นำประเทศ แต่คิดน่ะคิดได้ครับ จะเอาจริงนี่ยากแสนยาก เพราะพล.อ.ประยุทธ์แกยืนยันตลอดเวลาว่ายังไงก็ไม่ออก เอาข้าวสารเสก เอาไม้หวายลงยังไงก็ไม่ออก แถมกติกาคือรัฐธรรมนูญก็การันตีอำนาจเอาไว้ให้เสียด้วย

การจะแก้กติกาเลือกตั้งเป็น “บัตรสองใบ” ก็ไม่แน่ว่าจะผ่านไปสำเร็จได้ เพราะร่างพรรคประชาธิปัตย์ที่สภาฯ รับหลักการไปกลายเป็นจะมีปัญหา เพราะเสนอแก้ไขเพียง 2 มาตรา ทำให้การแบ่งเขตเลือกตั้ง การนับคะแนน อาจจะขัดกันอยู่ในรัฐธรรมนูญ พลังประชารัฐ, เพื่อไทย เห็นตรงกัน นึกว่าจะง่าย ทำท่าจะไม่ง่ายซะแล้วล่ะครับ ดีไม่ดีไปแท้งกลางทาง แต่ปรากฎการณ์แก้ไขรัฐธรรมนูญคราวนี้เราก็ได้เห็นนะครับว่าศูนย์อำนาจที่คุมเกม ส.ว.250 คน ไม่ได้เป็นที่เดียวกับที่คุมเกมในพรรคพลังประชารัฐ พูดกันชัด ๆ ก็คือพลังประชารัฐเป็นพื้นที่ของพล.อ.ประวิตร ส่วนส.ว.250 คน เป็นพื้นที่ของพล.อ.ประยุทธ์

เท่ากับในรัฐสภา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่ที่สุด เพราะมีส.ว. 250 ที่นั่ง เมื่อกติกาปัจจุบันบัตรเลือกตั้งใบเดียวเป็นการการันตีอำนาจและนำพล.อ.ประยุทธ์มาเป็นนายกรัฐมนตรี ก็เป็นไปได้สูงนะครับว่าในที่สุดการแก้ไขบัตรเลือกตั้งสองใบที่พลังประชารัฐกับเพื่อไทยต้องการอาจจะสวนทางกับความต้องการของพล.อ.ประยุทธ์ก็ได้ เพราะความหมายของการเลือกตั้ง “บัตรสองใบ” แม้พลังประชารัฐจะได้เปรียบทุกประตู ทั้งอำนาจทุน อำนาจรัฐ กลไกต่าง ๆ ที่วางเอาไว้ แต่อย่าลืมว่ามันก็ทำให้เพื่อไทยกลับมามีโอกาสสู้มากขึ้น

แล้วในท่ามกลางกระแสความรู้สึกของประชาชนต่อผู้นำรัฐบาลในสถานการณ์โควิด-19 ลงไปในสนามเลือกตั้งอะไรก็เกิดขึ้นได้ ดังนั้นถ้าจะประเมินความเสี่ยงทางอำนาจจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยโฟกัสที่ประเด็นกติกาการเลือกตั้ง หากเปลี่ยนจาก “บัตรใบเดียว” เป็น “บัตรสองใบ” คนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงสูงสุดคือประยุทธ์ จันทร์โอชา

ถ้าชนะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีก็ถือว่าเสมอตัวนะครับ

แต่ถ้าแพ้แบบแลนด์สไลด์ก็ตัวใครตัวมัน!

จะมีถนนเดินหรือเปล่ายังไม่รู้?

ก็ต้องจับตาดูกันนะครับว่าถึงที่สุดสัญญาณสุดท้ายของส.ว.250 คน ที่จะตัดสินใจแก้หรือไม่แก้รัฐธรรมนูญ จะเอา “บัตรใบเดียว” หรือ “บัตรสองใบ” ไม่ใช่ใครล่ะครับ อยู่ที่พล.อ.ประยุทธ์นั่นแหละ

นี่จึงเป็นรูปธรรมสำคัญอีกข้อหนึ่งที่เราจำเป็นจะต้องมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยสสร.จากการเลือกตั้งของประชาชน เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีความหมายเพียงแค่เครื่องมือในการเข้าสู่อำนาจและรักษาอำนาจของพล.อ.ประยุทธ์กับพวกเท่านั้น

แล้วก็เป็นที่สังเกตได้นะครับว่าตัวพล.อ.ประยุทธ์ไม่ค่อยจะรู้สึกรู้สากับหัวจิตหัวใจประชาชนเท่าไหร่นัก เพราะถ้าเป็นนักการเมืองจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยทั่วไปเขาจะไม่ทะลึ่งเล่นมุกสร้างอารมณ์ขันกับความเจ็บปวดสูญเสียกับประชาชนแบบนี้

แต่นี่มี 250 คะแนนแน่ ๆ ในสภาจากส.ว.ไงครับ แล้วการแก้ไขกติกา ถ้าตัวเองไม่ยอม ไม่เห็นด้วยก็ทำไม่ได้นะครับ แกก็เลยอยู่นะจ๊ะ นะจ๊ะ ต่อเนื่องกันมาแล้ว 7 ปี แล้วอยากจะอยู่นะจ๊ะ นะจ๊ะ ต่อไปอีกหลายปี

ผมว่าถึงเวลาที่ประชาชนต้องคิดให้เสร็จนะครับว่า เราต้องการกติการฉบับใหม่ เราต้องการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ไม่ต้องร่างตามใจใครฝ่ายไหนล่ะครับ ให้ประชาชนเลือกสสร.มายกร่างฯ แล้วลงประชามติกันหลังจากร่างเรียบร้อยแล้ว

ถึงวันนี้ใครยังมีความหวังกับพล.อ.ประยุทธ์อยู่อีก ผมจะเสนอให้สกัดเอา DNA มาทำวัคซีนต้านโควิดแล้วนะครับ ถือว่าภูมิต้านทานสูงมาก

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image