‘รักไทย’ มือดีลไฟเซอร์ 1.5 ล้านโดส ย้ำชัด ‘ของบริจาค’ ต้องใช้ตามวัตถุประสงค์ รับเป็นรุ่นน้อง ‘พิธา’ ทราบเรื่องยกหูคุย 2 เจ้าแล้ว

 

‘รักไทย’ มือดีลไฟเซอร์ 1.5 ล้านโดส ย้ำชัด ‘ของบริจาค’ ต้องใช้ตามวัตถุประสงค์ ฉีดบุคลากรด่านหน้า ไม่มีปัญหาถ้ารัฐบาลซื้อเอง ตกใจคอมเมนต์วงประชุมวัคซีน ห่วงหน้าตามากกว่าเพื่อนร่วมวิชาชีพ เสนอตั้งหน่วยงานกลางจัดการวิกฤต ลัดวงจรระบบราชการ เผยเป็นรุ่นน้อง ‘พิธา’ ทราบเรื่องยกหูคุย ไฟเซอร์-โมเดอร์นาแล้ว

เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม นายรักไทย บูรพ์ภาค อนุกรรมการประจำคณะกรรมาธิการการพลังงาน วุฒิสภา และอาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ หลักสูตรนานาชาติ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ อดีตนักศึกษา MIT ผู้มีส่วนเจรจากับทางสหรัฐอเมริกาจนได้รับบริจาควัคซีนไฟเซอร์ 1.5 ล้านโดส ให้กับไทย ให้สัมภาษณ์ว่า ตนและคนไทยในสหรัฐได้ช่วยกันประสานเพื่อหาทางให้คนไทยได้รับวัคซีนโดยเร็วที่สุด เมื่อเดือนพฤษภาคม 2564 ได้เริ่มประสานกับอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขของสหรัฐ เพื่อขอวัคซีนที่เหลือมาให้กับไทย โดยทางสหรัฐระบุว่าการดำเนินการทั้งหมดจะต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลกลาง ซึ่งล่าสุดการเจรจาระหว่างรัฐบาลก็เป็นผลจนได้รับการบริจาค 1.5 ล้านโดส ตามที่ข่าวนำเสนอ

เมื่อถามว่าเหตุใดจึงพยายามจัดหาวัคซีนให้คนไทยทั้งที่ควรเป็นหน้าที่รัฐบาล นายรักไทยกล่าวว่า ตนอยากช่วย เพราะวัคซีนที่มีไม่เพียงพอ หากมีโอกาสใช้คอนเน็กชั่นได้ ส่วนกระบวนการจัดหาวัคซีนของรัฐบาลนั้น หน่วยงานภาครัฐควรจะทำได้เร็วกว่านี้ แต่เนื่องจากบ้านเราไปยึดติดกับระบบราชการ ซึ่งไม่ผิดหากทำตามกระบวนการเพื่อการตรวจสอบ แต่ขณะนี้เป็นสถานการณ์พิเศษ สิ่งไหนที่สามารถลัดขั้นตอนเพื่อให้เข้าถึงประชาชนได้รวดเร็วก็ต้องเอาตรงนั้นมาเป็นตัวตั้ง ยกตัวอย่างสหรัฐ ที่จัดการสถานการณ์วิกฤตจนได้รับการยอมรับ เพราะมีสำนักจัดการภาวะฉุกเฉินกลาง (Federal Emergency Management Agency : FEMA) หรือฟีมา ที่จะข้ามขั้นตอนเพื่อตอบสนองความต้องการอย่างเร็วที่สุด แนวคิดนี้น่าจะเกิดขึ้นในการทำงานภาครัฐโดยเฉพาะสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้

Advertisement

เมื่อถามถึงกรณีเอกสารการประชุมคณะกรรมการด้านวัคซีนป้องกันโควิด-19 ชนิดไฟเซอร์ ที่มีคอมเมนต์ของผู้เข้าประชุมระบุว่าหากฉีดเข็ม 3 ให้บุคลากรด่านหน้าด้วยวัคซีนไฟเซอร์จะถือเป็นการยอมรับว่าวัคซีนซิโนแวคไม่มีผลป้องกันนั้น นายรักไทยกล่าวว่า หากรัฐบาลเป็นฝ่ายซื้อ ตนก็ไม่มีปัญหาว่าจะนำไปจัดการอย่างไร แต่วัคซีนไฟเซอร์ 1.5 ล้านโดส มาจากการบริจาค จึงต้องจัดการไม่ให้ผิดวัตถุประสงค์ของผู้ให้บริจาคที่ต้องการฉีดกับบุคลากรด่านหน้า หากตนเป็นแพทย์แล้วมาเห็นคอมเมนต์แบบนี้ก็รู้สึกเสียใจ ว่าทำไมเพื่อนร่วมวิชาชีพห่วงหน้าห่วงตามากกว่าห่วงชีวิตของบุคลากรการแพทย์ด้วยกัน

เมื่อถามว่ารู้จักกับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ที่เคยศึกษาอยู่ที่ MIT และประกาศว่าจะใช้คอนเน็กชั่นรุ่นพี่เพื่อเจรจากับบริษัทไฟเซอร์ และบริษัทโมเดอร์นาหรือไม่ นายรักไทยกล่าวว่า ตนเป็นรุ่นน้องของนายพิธาที่ MIT เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ตนกับนายพิธาก็ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ซึ่งได้ทราบว่านายพิธาได้ติดต่อคุยกับซีอีโอของบริษัทไฟเซอร์และบริษัทโมเดอร์นาเบื้องต้นแล้ว

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image