เห็นเอกสารจากที่ประชุมคณะกรรมการวิชาการตาม พ.ร.บ.ควบคุมโรค “หลุด” ออกมาจากภายในกระทรวงสาธารณสุขแล้ว
ก็ “เข้าใจ”
ไม่เพียงแต่ 1 เข้าใจว่าเหตุปัจจัยอะไรทำให้ “ซิโนแวค” ทะยานขึ้นมาอยู่ในสถานะเป็นวัคซีน “หลัก” เหนือทุกวัคซีน
แม้กระทั่ง “แอสตร้าฯ”
หากแต่ยังเข้าใจด้วยว่า 1 เหตุปัจจัยอะไรทำให้การนำเข้าวัคซีน “ทางเลือก” ไม่ว่าจะเป็นไฟเซอร์ โมเดอร์นา จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน
เป็นไปด้วยความลำบาก แสนเข็ญ
ขณะเดียวกัน 2 ปัจจัยอันกลายเป็นกรอบและข้อจำกัดซึ่งเกิดขึ้นและดำรงอยู่ภายในมาตรการ “แทงม้าตัวเดียว” นั้นเอง
กลับเป็น “มูลเชื้อ” ให้เกิดเอกสาร “หลุด”
ทุกอย่างดำเนินไปเหมือนความรู้สึกที่ วัฒน์ วรรลยางกูร เคยสะท้อนออกมาเมื่อประสบเข้ากับสถานการณ์เมื่อเดือนตุลาคม 2519
นั่นก็คือ เป็นสถานการณ์ “สุดทน”
หากติดตามบทบาทและการเคลื่อนไหวของกลุ่มที่เรียกตนเองว่า “หมอไม่ทน” ประสานกับกลุ่มที่เรียกตนเองว่า “แพทย์ด่านหน้า”
ก็จะ “สำเหนียก” และบังเกิดความ “เข้าใจ”
เพราะว่าการประชุมของคณะกรรมการ “วิชาการ” อันจัดตั้งตาม พ.ร.บ.ควบคุมโรคระบาดนั้นเพียงเห็นแต่ละรายชื่อก็รู้แล้วว่าสำคัญ
สำคัญและทรงความหมายต่อ “กลุ่มบริหาร” ในกระทรวง
การที่พวกเขาเอ่ยคำว่า หากเอา “ไฟเซอร์” ไปฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ก็จะเท่ากับเป็น “ด้อยค่า” วัคซีนบางยี่ห้อที่ฉีดไปก่อนหน้า
ยืนยันว่า การประชุมเช่นนี้เป็นเรื่องของ “วงใน”
นั่นก็คือ ไม่เพียงแต่เป็นวงในที่ยืนยันในแนวทางการจัดหาวัคซีนอย่างที่เรียกขานกันว่า “แทงม้าตัวเดียว” อย่างเป็นที่รู้กันเท่านั้น
หากแต่ “ม้า” ตัวเดียวนั้นชื่ออะไร
กลุ่มคนเหล่านี้ก็ล้วนแต่เข้าไปมีบทบาทอย่างสำคัญในการผลักดันวัคซีนยี่ห้อ “รอง” ให้กลายเป็นยี่ห้อ “หลัก”
โดยเฉพาะ 3 หมอที่เคยมีการเอ่ยนาม
แนวทางเช่นนี้แม้ว่าจะได้รับความเห็นชอบอย่างต่อเนื่องจากผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงสาธารณสุข แต่ก็ใช่ว่า “แพทย์ด่านหน้า” จะโอเค
จึงได้มีปรากฏการณ์ “หมอไม่ทน” ขึ้น
การรักษา “ความลับ” ที่เคยแข็งแกร่งและมั่นคงเสมอมา จึงเริ่มมีคนไม่เห็นด้วย ไม่ว่าจะอยู่ในคณะกรรมการ ไม่ว่าจะอยู่ในกรมและหน่วยงานต่างๆ
นี่คือช่องโหว่ นี่คือ “รอยรั่ว” ที่ปรากฏขึ้น
อย่าได้แปลกใจ หากในระหว่างญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ จะปรากฏเอกสาร “ลับ” หลุดไปถึงมือของฝ่ายค้าน
นั่นล้วนเล็ดลอดออกมาจาก “ภายใน”
นี่ย่อมเป็นสถานการณ์ที่เรียกว่าเป็น “วิกฤต” และบังเกิดความเห็น “ต่าง” ผุดกระจายขึ้นจากภายในแต่ละหน่วยงานอย่างกว้างขวาง
วิกฤตนี้นำไปสู่ “ป้อมค่าย” ที่เริ่มโยกคลอนและอ่อนแอ