ยิ่งชีพ ชี้ 7 ปีนี้ ปท.เปลี่ยนไปมาก คนตื่นตัว ช่วยรุมด่าตรวจสอบรบ. ที่เคยอวยก็ชมไม่ออก

‘ยิ่งชีพ’ ชี้ 7 ปีได้เห็นอะไรหลายอย่าง ที่พัฒนาไปมากคือคนช่วยรุมด่ารัฐบาลเยอะขึ้น คนเชียร์ยังมีแต่ต้องกระมิดกระเมี้ยน

เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม นายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือไอลอว์ โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก Yingcheep Atchanont กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองไทยตั้งแต่ พ.ศ.2559 จนถึงปัจจุบันซึ่งมีผู้มองว่าเป็นช่วงเวลาที่รัฐล้มเหลว โดยนายยิ่งชีพระบุว่า ส่วนตัวเห็นว่า ประเทศไทยเคยแย่กว่านี้มาก

นายยิ่งชีพระบุว่า ช่วง พ.ศ. 2559-2560 ซึ่งอาจเรียกว่าช่วงกลางๆ ของยุครัฐบาล คสช. ไม่มีรัฐสภาจากการเลือกตั้ง ไม่มีฝ่ายค้าน มีแต่สภานิติบัญญัติแห่งชาติที่พวกเขาตั้งมาเองหมด นึกภาพก็เหมือนมีแต่ ส.ว. ชุดนี้ คือ แกมีคนเด่นๆ 3-4 คน ที่เหลืออยู่เงียบๆ กินเงินเดือน ประธานสภาในขณะนั้น คือ นายพรเพชร วิชิตชลชัย นอกจากนี้ สภาอื่นๆ ชื่อว่าปฏิรูปทั้งหลายซึ่งกินเงินเดือนไม่แพ้กัน แต่ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน

จนถึงวันนี้ก็พิสูจน์แล้วว่าพวกเขาไม่ได้ปฏิรูปอะไร ส่วนกลไกการตรวจสอบ ป.ป.ช. กสม. ผู้ตรวจการ ถูกยึดครองหมดมานานแล้ว ส่วนระบบกฎหมาย สมัยนี้ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เป็นฐานแล้วออกข้อกำหนดต่างๆ ตอนนี้ 25 ฉบับแล้ว กลับไปกลับมา ซ้ำกันบ้าง คล้ายกันบ้าง เหมือนกันบ้าง จนไม่รู้ว่าจะต้องใช้ฉบับไหนก่อนหลัง ส่วนสมัยนั้นก็ใช้ “ม.44” ทำแบบเดียวกัน ออกคำสั่งมากมายเพื่อจะแก้ทุกอย่างเอง กลับไปมาได้ตามใจ

“ที่อาจจะเจ็บช้ำน้ำใจกว่าเมื่อสมัย 5 ปีก่อน คือ พออยากได้อะไรจริงจังก็ผ่านเป็น พ.ร.บ. แล้วสภายกมือทีเดียวพรึ่บสบายเลย ส่วนที่เขียนกฎหมายจำกัด และยกเว้นความรับผิดให้ตัวเองก็ยังคงเขียนไว้แบบเดียวกันเป๊ะ ต้องยอมรับกันตรงๆ ว่า สมัย คสช.1 ระบบการปิดกั้นการวิจารณ์รุนแรงกว่านี้ แค่โพสต์ด่าทหารก็ถึงบ้านได้ จับเอาไปเข้าค่ายทหารทันทีได้ 7 วัน ขู่ให้กลัวแล้วปล่อยเฉยๆ ไม่มีข้อหาอะไรก็ได้ อำนาจนี้วันนี้ก็ยังมีอยู่แต่ไม่ค่อยกล้าใช้….. แถมเมื่อก่อนเอาคนขึ้นศาลทหารก็ได้ ด่าประยุทธ์ ด่าประวิตร โดน 116 ก็ได้ ถึงวันนี้ในแง่ปริมาณคดีความแม้จะมากกว่าเดิมมาก แต่การขยายขอบเขตแบบไร้สาระลดลง ระวังมากขึ้น ที่แตกต่างและพัฒนาไปมาก คือ มีคนช่วยกันรุมด่ารัฐบาลเยอะขึ้นมาก” นายยิ่งชีพระบุ

Advertisement

นายยิ่งชีพ ระบุด้วยว่า สิ่งที่เป็นความแปลกของบ้านเราคือ พอเป็นยุคสมัยรัฐบาลทหารจากการรัฐประหาร 100% คนไม่ค่อยรู้สึกเดือดร้อนอะไร เหมือน “เฉยๆ” รู้อยู่แล้วว่ายังไงเผด็จการก็ต้องเป็นแบบนี้ จะใช้อำนาจอะไรก็ปล่อยๆ ไปก่อนไว้รอเลือกตั้ง แต่พอเลือกตั้งแล้ว แม้จะโกงมา คนก็ตื่นตัวมากขึ้นว่า รัฐบาลที่ควรจะเป็นต้องทำดีกว่านี้ และต้องตรวจสอบได้กว่านี้

“คิดไม่ออกเลยว่า ถ้าโควิดมาในช่วงปี 2559 รัฐบาลจะทำอย่างไร ในแง่ความรู้ความสามารถก็คงไม่ได้ดีกว่าวันนี้เท่าไหร่ แนวคิดก็คงเป็นการรวมศูนย์อำนาจสั่งการเองหมดแบบวันนี้ คงจะใช้ “ม.44” เป็นหลัก อยากสั่งอะไรก็สั่งสุ่มสี่สุ่มห้าเลย แล้วถ้าใครกล้าออกไปประท้วงก็คงโดนจับ โดยมีทหารยืนคุมตำรวจให้ใช้กำลังเต็มที่ แถมเพื่อนบ้าน เพื่อนสมัยเรียน ญาติพี่น้อง ก็จะตามกร่นด่าอีกว่า จะประท้วงทำไม ประเทศกำลังจะเดินหน้า บลาๆๆ

สมัยนี้คนช่วยกันด่ารัฐบาลมากขึ้นแล้ว ป๋าเต๊ดก็ดี มิสยูนิเวิร์สก็ดี สรยุทธ์ก็ดี ดวงฤทธิ์ก็ดี หยุ่นก็ดี หมอไม่ทนก็ดี เพนกวิ้นชาบูก็ดี ฯลฯ เวลาจะออกตัวด่าบ้างก็สบายใจไม่ต้องมองซ้ายมองขวามากนักว่าเพื่อนจะหนีห่าง ส่วนคนยังเชียร์ก็ยังมีอยู่ เมื่อก่อนออกนอกหน้าพูดอวยกันเต็มปากเต็มคำ แต่ตอนนี้กระมิดกระเมี้ยนไม่รู้จะพูดอะไร โบ้ยไปด่าธนาธรแทน ชมประยุทธ์ไม่ออก แถมต้องใช้เฟซปลอมมาเม้นต์แบบหลบๆ ซ่อนๆ โลกมันก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป ใน 7 ปีมานี้ก็ได้เห็นอะไรหลายอย่างจริงๆ” นายยิ่งชีพระบุ

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image