ณัฐวุฒิ แจงถูกถาม ทำไมไม่ร่วมไทยไม่ทน ถ้าขยับเดี๋ยวบอก “3 ป.” ได้เจอกันแน่!

วันที่ 7 กรกฎาคม 2564 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนำ นปช.ได้ออกมาเปิดเผยความเคลื่อนไหวล่าสุดท่ามกลางสถานการณ์การแก้ไขปัญหาการระบาดของโควิด-19 ที่เต็มไปด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์และการประท้วงกดดันรัฐบาลที่ไม่สามารถแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิภาพว่า

ผมติดภารกิจ 3 – 4 วันแต่ยังคงติดตามข่าวสารเหมือนที่ทำมาตลอด คิดว่าถึงเวลาต้องสนทนากัน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดาและพวก จะไม่มีโอกาสหรือความชอบธรรมในการครองอำนาจแบบปัจจุบัน ถ้าไม่มีความขัดแย้งทางการเมืองที่ต่อสู้กันมาตลอด 15 ปี ซึ่งทั้ง 3 คนมีบทบาทสำคัญตั้งแต่การยึดอำนาจ 19 กันยายน 2549

ต้องรัฐประหาร 2 ครั้ง ล้มนายกฯจากการเลือกตั้ง 4 คน ยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบิน ตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร ปราบปรามประชาชนมือเปล่าตายเป็นร้อย ล้มการเลือกตั้ง 2 ครั้ง ร่างรัฐธรรมนูญสืบทอดอำนาจ และทำทุกอย่างที่ประณามกล่าวหารัฐบาลฝ่ายตรงข้ามถึงมีวันนี้

Advertisement

ภายใต้อำนาจเต็มกว่า 7 ปี คนพวกนี้ใช้ทรัพยากรของรัฐสร้างและขยายฐานอิทธิพลทางการเมือง สร้างรัฐราชการ บิดเบือนวิถีทางประชาธิปไตย ปิดกั้นพัฒนาการของประเทศตามหลักสากลเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตนและพวกพ้อง

ไร้ความสามารถในการแก้ไขปัญหาทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม เหลวแหลกโดยไร้ขีดจำกัดต่อการรับมือโควิด 19 เหยียดหยามซ้ำเติมประชาชนด้วยการพูด ทำ แสดงกริยาท่าทีเยี่ยงคนไร้สำนึกในสถานภาพผู้นำประเทศ

คนจำนวนมากสิ้นหวัง ตาย เจ๊ง การเยียวยาไร้ทิศทาง หนุ่มสาวทั้งในโลกอาชีพและสถานศึกษามองไม่เห็นอนาคต หลายแวดวงส่งเสียงเรียกร้องสิ่งที่ดีกว่า แต่ไม่ได้รับการตอบสนอง

Advertisement

ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองกลายเป็นเรื่องมีเจ้าของ ให้เป็นไปอย่างไรขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจไม่ใช่เพื่อประชาชน แก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับไม่ได้ ยกเว้นประเด็นที่เป็นผลประโยชน์ทางการเมือง

สับปลับเชื่อไม่ได้ สัญญาไม่เป็นสัญญา กฎหมายไม่เป็นกฎหมาย การตรวจสอบถูกเหยียบย่ำ หลักนิติธรรมถูกมองข้าม นานไปอำนาจนี้จะยิ่งเข้มแข็ง แต่ประเทศยิ่งบอบช้ำประชาชนยิ่งเสียหาย

บนถนนการต่อสู้ผมยืนอย่างเจียมตัวเสมอ เข้าใจดีว่าเลยวันเวลาของตัวเองไปแล้ว เคารพชื่นชมพลังของคนรุ่นใหม่ แต่สถานการณ์ถึงปัจจุบัน จะเพิกเฉยไม่สนใจก็เหมือนละเลยภารกิจทอดทิ้งประชาชน

ผู้มีอำนาจทั้งหลายที่ตามคุยตามถามมาตลอดตั้งแต่ข้างใน และตอนผมออกจากเรือนจำ ผมยังรับผิดชอบคำเดิมทุกประการ ขอพูดกันชัดๆอีกทีนะครับ

ผมยึดมั่นหลักการประชาธิปไตย ปฏิเสธข้อกล่าวหาว่าคิดร้ายโค่นล้มสถาบัน ยืนยันเคียงข้างคนหนุ่มสาวอนาคตของประเทศ ไม่กลัวไม่รังเกียจการเปลี่ยนแปลงเพราะเห็นเป็นเรื่องปกติและทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันได้ ไม่ได้ร่วมเวทีไทยไม่ทน ทั้งวันนี้และอนาคต ให้เกียรติพวกเขาเพราะเราเท่ากันแต่แนวทางเป็นเรื่องของแต่ละคน

ผมตรงไปตรงมา พูดไว้ทุกครั้งว่าถ้าขยับจะบอก

ขบวนการอำนาจนิยมกลุ่มนี้กับผม เราเจอกันแน่

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image