วิเคราะห์หน้า 3 : โควิด กับ ศรัทธา รบ.บิ๊กตู่ เหนื่อย ถึงเวลา เปลี่ยนแปลง
ในวันที่ ศบค. ประชุมใหญ่ในวาระล็อกดาวน์พื้นที่เสี่ยง บางพื้นที่ บางกิจการเพื่อลดการระบาด
ตัวเลขการติดเชื้อรายใหม่ที่ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค เผยแพร่ได้ปรากฏยอดผู้ติดเชื้อโควิดที่สูงที่สุด
นั่นคือ ยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ ประจำวันที่ 9 กรกฎาคม 9,276 ราย และเสียชีวิต 72 ราย รวมผู้ป่วยสะสม 317,506 ราย
หลังจากนั้นที่ประชุม ศบค. ก็ถกเถียงกันอย่างเคร่งเครียดตั้งแต่เช้าจรดบ่าย
และมีข้อสรุปยกระดับมาตรการต่างๆ ในพื้นที่สีแดง 6 จังหวัด
ทั้งมาตรการจำกัดการเดินทางออกจากบ้านและข้ามจังหวัด
ทั้งมาตรการเคอร์ฟิวห้ามออกจากบ้านหลัง 3 ทุ่ม
ทั้งมาตรการปิดสถานที่เสี่ยง
ทั้งปรับระบบการคัดกรองและรักษาพยาบาล เพิ่มจุดตรวจโควิด ตั้งโฮม ไอโซเลชั่น และคอมมูนิตี้ ไอโซเลชั่น
มีผลตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคม เป็นต้นไป
การล็อกดาวน์ที่ไม่ใช่ล็อกดาวน์ครั้งนี้ เกิดขึ้นท่ามกลางข้อสงสัยตามมาว่า เมื่อยอม “เจ็บ” ครั้งนี้แล้ว สถานการณ์การระบาดจะ “จบ” หรือไม่
ข้อข้องใจดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะเริ่มรู้สึกไม่เชื่อถือความสามารถของรัฐบาลในการยับยั้งโรคระบาด
จากเดิมที่รัฐบาลแสดงความเชื่อมั่นว่า “เอาอยู่” และเริ่มสร้างความเชื่อมั่นด้วยการ “ผ่อนคลาย” มาตรการต่างๆ
กระทั่งเกิดการระบาดรอบ 3 และตามมาด้วยเชื้อเดลต้าที่มีศักยภาพการระบาดมากขึ้น
ประกอบกับปริมาณวัคซีนที่นำมาฉีดไม่สอดคล้องกับความเร็วของการระบาด
ทำให้จำนวนผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากหลักร้อยเป็นหลักพัน และกำลังจะแตะหลักหมื่น
เช่นเดียวกับจำนวนผู้เสียชีวิตที่เริ่มจากหลักหน่วย ขณะนี้เกินวันละ 70 ราย
ขณะเดียวกัน คนไทยต่างได้ยินเรื่องราวผู้ติดเชื้อไร้เตียงรักษาจนเสียชีวิต
ได้ยินเรื่องราวผู้ติดเชื้อท้อแท้สิ้นหวังถึงขั้นปลิดชีพตัวเอง
ข่าวคราวที่เกิดขึ้นทุกวัน ทำให้สังคมเครียด และเริ่มหมดศรัทธารัฐบาล
ปัจจุบัน จึงเห็นประชาชนรวมกลุ่มกันจัดตั้งเป็นทีมงานเพื่อช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติกันเอง
บ้างช่วยเหลือด้วยการประสานงานและขนส่งผู้ติดเชื้อไปรักษาในโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลที่มีเตียงรองรับ
บ้างช่วยเหลือด้วยการทำกับข้าวกับปลาส่งให้เจ้าหน้าที่ทั้งอาสาสมัคร แพทย์ พยาบาล และผู้ติดเชื้อ
นอกจากนี้ยังเห็นการรวมตัวของประชาชนเพื่อแสดง “อารยะขัดขืน”
ปรากฏกลุ่มร้านอาหารรวมตัวกัน “ไม่ล็อกดาวน์” ตามคำสั่งของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
กลุ่มผู้ประกอบร้านอาหารประกาศเปิดขายท้าทายคำสั่งห้าม
ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีตบเท้ามุ่งไปขอความช่วยเหลือจากรัฐบาล
กองถ่ายขอให้ผ่อนคลายกฎเพื่อให้ทำมาหากินได้
ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น แสดงว่าประชาชนหมดหวังกับภาครัฐ
และกำลังรวมตัวกันเพื่อช่วยเหลือกันเอง
เมื่อประชาชนรวมตัวช่วยเหลือกันเอง ระยะห่างระหว่างประชาชนกับรัฐบาลก็มีมากขึ้นเป็นลำดับ
ความหวังที่จะให้รัฐบาลปลดเปลื้องทุกข์เริ่มลดน้อย
การดำเนินการทุกอย่างที่ภาครัฐจัดการ กลายเป็นคำถามของสังคม
อาทิ ทำไมวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จึงมีไม่พอ ทำไมต้องเป็นวัคซีนซิโนแวคและแอสตร้าเซนเนก้าเท่านั้น ทำไมสั่งซื้อวัคซีนที่มีประสิทธิภาพต่ำสุดมาฉีด ทำไมต้องจ่ายเงินค่าวัคซีนโมเดอร์นา
คำถามต่างดังขึ้นเรื่อยๆ และดังมาอย่างต่อเนื่อง แม้รัฐบาลจะพิจารณาแนวทางล็อกพื้นที่เสี่ยงก็ยังเกิดคำถามว่า ล็อกพื้นที่เสี่ยงแล้วจะได้ผลมากน้อยเพียงใด ล็อก 14 วันแล้วจะยับยั้งโรคระบาดโควิด-19 ได้จริงหรือ มีแนวทางอย่างไรที่ยืนยันว่าสถานการณ์จะดีขึ้น เป็นต้น
สถานการณ์ที่กำลังเป็นไปในขณะนี้ เป็นสถานการณ์ที่ไม่เป็นคุณต่อรัฐบาลเลย
แม้ว่าแกนนำของรัฐบาลมีความเชื่อว่า ด้วยกลไกและเครือข่ายตามรัฐธรรมนูญ 2560 จะทำให้รัฐบาลอยู่ครบวาระ 4 ปี
แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทำให้รัฐบาลกำลังถูกเมิน
ยิ่งท่าทีของภาครัฐที่ยังมองประชาชนคือ “ปัญหา” ใช้วิธีการ “ออกคำสั่ง” ให้ประชาชนทำนั่นทำนี่ แต่ผลสุดท้ายทุกอย่างกลับร้ายแรงกว่าเก่า
ยิ่งกระตุ้นให้ประชาชนหมดศรัทธาต่อการบริหารจัดการของภาครัฐ
สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และมีอาการรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
หนทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว จึงมีวิธีการเดียวนั่นคือ ต้องเปลี่ยนแปลง
หนึ่ง คือ รัฐบาลต้องเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ โดยหยุดยั้งการระบาดให้ได้
หนึ่ง คือ นายกรัฐมนตรี ต้องเปลี่ยนแปลงทีมงาน เพื่อทำให้สถานการณ์การระบาดหยุดยั้งลง
หรืออีกหนึ่ง หากนายกรัฐมนตรีไม่สามารถทำให้สถานการณ์ดีขึ้นได้
ผู้คนที่เดือดร้อนก็จะหันไปมองที่ พล.อ.ประยุทธ์
พร้อมด้วยเสียงเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตัวนายกรัฐมนตรี