‘ส.ส.กทม. ก้าวไกล’ สะท้อนปัญหาจริงจากพื้นที่ ‘สีแดงเข้ม’ ‘ณัฐพงษ์’ แนะ 6 ข้อ พัฒนาระบบรุกตรวจ ส่งต่อ หาเตียง

‘ส.ส.กทม. ก้าวไกล’ สะท้อนปัญหาจริงจากพื้นที่ ‘สีแดงเข้ม’ ‘ณัฐพงษ์’ แนะ 6 ข้อ พัฒนาระบบรุกตรวจ ส่งต่อ หาเตียง ‘เท่าพิภพ’ ถามหาความชัดเจนการเยียวยาก่อนยกระดับ ‘ล็อกดาวน์’ ด้าน ‘ณัฐชา’ จี้ ดูเเล ‘เเรงงานต่างชาติ’ ไม่เลือกปฏิบัติ หวั่นเกิดคลัสเตอร์ใหม่ไม่รู้จบ

เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม นายณัฐพงษ์​ เรืองปัญญาวุฒิ นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร และนายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส. กทม. พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ได้ร่วมกันแถลงข่าวออนไลน์ เพื่อสะท้อนสถานการณ์โควิด-19 ที่เป็นปัญหาจริงในพื้นที่ โดยเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาตรการเพื่อแก้ปัญหาอย่างตรงจุด

นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า รัฐบาลควรมีมาตรการที่ชัดเจนและในบางเรื่องก็ควรต้องรวมศูนย์ในการจัดการโดยเฉพาะเรื่องที่สำคัญต่อวิกฤตนี้ นั่นคือ เรื่องของการจัดหาเตียงที่มีปัญหาและความสับสนมาก นอกจากนี้ ยังมีข้อสังเกตเพื่อสะท้อนไปยังรัฐบาลใน 6 ประเด็น ได้แก่ ประเด็นเเรก การใช้ชุดตรวจ Rapid Antigen Test เพื่อคัดกรองหาผู้ติดเชื้อ โดยรัฐบาลจะต้องรับรองให้ผลตรวจจาก Rapid Antigen Test สามารถลงทะเบียนเพื่อใช้รักษาในกระบวนการ Home Isolation ได้ทันที โดยไม่ต้องรอผลตรวจแบบ RT PCR ประเด็นที่สอง การเเสดงผลตัวเลขผู้ติดเชื้อจากผลตรวจ RT PCR ไม่สามารถทำให้รับทราบผลของผู้ติดเชื้อจริงว่ามีเท่าไร หลังจากที่มีการตรวจชัดเจนเเล้ว รัฐบาลจะต้องมีความโปร่งใส โดยเเยกตัวเลขจากผลตรวจ RT PCR และตัวเลขจาก Rapid Antigen Test เพื่อให้ประชาชนได้ทราบอย่างชัดเจน

ประเด็นที่สาม การสื่อสารให้ชัดเจน เช่น เรื่องของ Home Isolation รายละเอียดเป็นอย่างไร ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่ทราบข้อมูล เมื่อรู้ว่ามีผู้ติดเชื้ออยู่บ้านไหน รัฐจะต้องส่งอุปกรณ์ทางการเเพทย์ไปให้อย่างเร่งด่วน อย่างกรณีญี่ปุ่น เมื่อมีการทำ Home Isolation ทางรัฐบาลส่งเครื่องวัดออกซิเจนให้กับประชาชนทุกบ้าน เพื่อประเมินความหนักเบาของอาการ ช่วยประคองชีวิตประชาชน ลดความสูญเสียได้ในหลายอัตรา

Advertisement

นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ประเด็นที่สี่ ศูนย์พักคอย เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก กรณีของเขตบางเเคมีกว่า 40 ชุมชน ไม่ใช่ทุกครัวเรือนจะมีฐานะ หลายครอบครัวต้องอาศัยอยู่รวมกัน เมื่อใครคนหนึ่งติดเชื้อจึงป้องกันได้ยาก ขณะนี้มีหลายครัวเรือนติดเชื้อและต้องการแยกตัวออกไป เพื่อลดการเเพร่เชื้อเเละกระจายความเสี่ยง แต่ปัจจุบันยังไม่มีการรองรับในเรื่องเหล่านี้ ประเด็นที่ห้า บุคลกรทางการเเพทย์และสาธารณสุข ยังไม่มีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพมาเป็นเกราะป้องกัน ซึ่งพวกเขาควรต้องได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด แต่เรายังได้รับการข้อมูลมาว่า ขณะนี้ยังมีทีมแพทย์เเละพยาบาลที่ปฏิบัติงานจำนวนหนึ่ง ในโรงพยาบาลหลายแห่ง ไม่ได้รับการตรวจเชื้อโควิดอย่างเป็นประจำทุกสัปดาห์ โดยอ้างว่าใช้ต้นทุนสูง เรื่องนี้จึงขอให้รัฐแก้ไขอย่างเร่งด่วน และ ประเด็นสุดท้าย งานธุรการเอกสาร คิดว่าต้องพอได้เเล้วสำหรับยุคปัจจุบันที่รัฐบาลบอกว่าจะเป็นรัฐบาลดิจิตอล แต่กลับยึดติดกับงานเอกสาร ต้องบอกว่า ขณะนี่ทุกๆ งานเอกสารกำลังหมายถึงความสูญเสียที่เกิดขึ้น เพราะการรอใบตรวจ หรือผลตรวจที่ต้องการเอกสารยืนยัน แต่นี่คือต้นทุนชีวิตที่ประชาชนต้องสูญเสียไป เป็นอีกเรื่องที่ขอให้รัฐบาลเร่งดำเนินการอย่างเร่งด่วนในการปรับปรุงแก้ไข

ด้านนายเท่าพิภพ กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์ขณะนี้ หากรัฐบาลต้องการล็อกดาวน์ก็เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ เเต่จะต้องมีการเยียวยาอย่างเหมาะสมออกมาด้วย เเต่อย่างเช่นเคย เหมือนรัฐบาลยังไม่ได้คิดอะไรนอกจากสั่งล็อกดาวน์ทำตามอำเภอใจผ่านการใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และกำลังจะล็อกดาวน์เพิ่มอีก 3 จังหวัด ซึ่งความรู้สึกของประชาชนจากการที่ตนลงพื้นที่รับฟังมา เขาต้องการรู้ว่ารัฐบาลจะเยียวยาอะไรเขาบ้างเมื่อมีคำสั่งออกมา และหาก 14 วันไม่ดีขึ้น รัฐบาลจะทำอย่างไรต่อ ต้องมีขั้นตอน มีความชัดเจนให้เขาวางแผนได้ อย่างไรก็ตาม ตนคิดว่าหากยังไม่มีการตรวจเชิงรุก หรือเพิ่ม ICU สนาม ล็อกดาวน์ไปก็ไม่มีประโยชน์

“ในส่วนประเด็นการหาเตียงในพื้นที่ กทม. ค่อนข้างวิกฤตสูง แต่รัฐบาลยังลอยเเพ ทำตัวเหนือปัญหา ปล่อยให้ประชาชนล่องลอยในการหาเตียงกันเอง เราได้รับแต่เรื่องราวจากพี่น้องประชาชนซึ่งเป็นเรื่องของความสูญเสีย เป็นสิ่งที่น่าสะเทือนใจ รัฐบาลพยายามให้ประชาชนโทรเบอร์ 1669 หรือ 1330 เพื่อเป็นช่องทางในการหาเตียง แต่ปัญหาคือ การโยนเเละผลักภาระกันไปมาระหว่างหน่วยงาน ยิ่งประชาชนโทรหลายสายการทำงานก็ยิ่งช้าลง จึงอยากฝากให้รัฐบาลรวมศูนย์อำนาจในการจัดหาเตียงมาที่ ศบค. อย่างชัดเจน และจัดทำแอพลิเคชั่นในการลงทะเบียนเพื่อความรวดเร็วและโปร่งใส จะได้ไม่มีข้อครหา ว่าการหาเตียงให้ผู้ป่วยเอื้อเเต่คนรวย กลุ่มอภิสิทธิ์ชน รัฐบาลต้องทำระบบให้เป็นระบบเดียว วันนี้มีผู้ป่วยกว่า 12,000 คน แต่ประชาชนกลับไม่เห็นอนาคตเเละสิ้นหวังจากรัฐบาล ขอให้ดูเเลสภาพจิตใจประชาชนด้วย เเละควรจัดทำศูนย์พักคอย และ ICU สนามเพิ่มเติมสำหรับผู้ป่วยสีเเดงได้แล้ว” นายเท่าพิภพ กล่าว

Advertisement

ขณะที่ นายณัฐชา กล่าว่า อีกปัญหาที่ถูกละเลยจากภาครัฐคือ การดูแลพี่น้องผู้ใช้แรงงาน โดยเฉพาะเเรงงานข้ามชาติที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในกรุงเทพมหานคร โดยยกตัวอย่าง ชุมชนวงเเหวนชัชวาลย์ เทียนทะเล 26 ซึ่งมีเเรงงานข้ามชาติมากกว่า 2,000 ราย ที่ยังไม่ได้รับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 หรือไม่มีการตรวจเชิงรุกในกลุ่มนี้ทั้งที่เป็นสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อการเกิดคลัสเตอร์ใหม่อย่างมาก เพราะเป็นแหล่งโรงงานและบริษัทเอกชน รวมถึงมีชุมชนอยู่โดยรอบ อย่างบางโรงงานหรือบริษัทเมื่อทดลองตรวจเชิงรุกกันเอง จาก 30 – 40 คน พบการติดเชื้อถึง 20 ราย เรียกว่าพบเป็นร้อยละ 60 % ของผู้ได้รับการตรวจเชิงรุกโดยประมาณ ปัญหาก็คือพบแล้วก็ไม่สามารถที่จะควบคุมการกระจายของเชื้อได้เลยหากรัฐบาลยังคงนิ่งเฉยแบบนี้

“ผมอยากให้รัฐบาลมองเห็นเเรงงานข้ามชาติเป็นเพื่อนมนุษย์และเป็นผู้ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย รัฐบาลควรช่วยเหลือดูเเล ต้องบริหารจัดการทรัพยากรทุกอย่างรวมถึงมนุษย์ภายใต้รั้วรอบขอบชิดของประเทศนี้ ไม่ว่ามาตรการทางด้านสาธารณสุขหรือคุณภาพชีวิตอื่นๆ เพราะบางคนถึงกักตัวแยกให้หอพักคนงาน แต่เมื่อไม่มีอาหารไม่มีข้าว เขาก็ต้องออกมาหาซื้อในชุมชน เมื่อเป็นแบบนี้รัฐบาลจะควบคุมการระบาดของโควิด 19 ได้อย่างไร นี่เป็นบทเรียนที่เกิดขึ้นแล้วหลายครั้ง หลายพื้นที่ เป็นสาเหตถเกิดการติดเชื้อเป็นคลัสเตอร์ใหม่ไปเรื่อยๆรวมถึงการขยายวงเข้าไปติดในชุมชน จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลและกระทรวงเเรงงาน ดูแลแรงงานให้ดีอย่างไม่มีการเลือกปฏิบัติ เร่งแก้ไขให้ถึงจุดต้นตอของปัญหา เพื่อป้องกันการเเพร่ระบาดเเละกระจายเชื้อเป็นวงกว้างอย่างเร่งด่วน” นายณัฐชา กล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image