สถานการณ์ประเทศไทยแย่ลงกว่าเดิม เพราะการควบคุมโรคโควิด-19 ยังคงอยู่ในระดับไม่ได้ผล
ทำให้สุขภาพกายเสื่อม สุขภาพจิตทรุด
คนเจ็บป่วยและต้องรอเตียงจนเสียชีวิตในบ้านเกิดขึ้นทุกวัน
ครอบครัวผู้เจ็บป่วยต้องมองคนใกล้ชิดเสียชีวิตไปต่อหน้า แม่เห็นลูกตาย ลูกเห็นแม่ตาย สามีภรรยาเห็นคู่ชีวิตตาย บางคนเสียชีวิตในรถ และบางคนตัดสินใจคิดสั้น
ล่าสุดเกิดเหตุมีผู้ป่วยเสียชีวิตข้างถนน กระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมยังสั่งให้ทุกฝ่ายช่วยกัน
มิให้เกิดเหตุคนตายข้างถนนอีก
และให้ทุกฝ่ายช่วยกันลำเลียงผู้ป่วยไปส่งโรงพยาบาล
คำสั่งดังกล่าวแม้จะออกจากปากของนายกรัฐมนตรี แต่ดูเหมือนหนทางสู่ความสำเร็จมีน้อยลงเรื่อยๆ
สาเหตุมาจากสถานการณ์การระบาดเกิดขึ้นรวดเร็วจนแผนการฉีดวัคซีนของรัฐบาลที่มีอยู่ล่ม
วัคซีนที่คาดการณ์ว่าจะนำเข้ามาฉีดให้คนไทยเดือนละ 10 ล้านโดส สะดุด มีวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเข้ามาเพียงเดือนละ 5 ล้านโดส ขณะที่ซิโนแวคซึ่งเป็นวัคซีนหลักของไทยอีกยี่ห้อกลับสู้เชื้อเดลต้าไม่ได้มากนัก
ผนวกกับการแพร่ระบาดเกิดขึ้นเร็วมาก ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนวัคซีน
ล่าสุด นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ต้องออกมาแถลงขอโทษ
“กราบขออภัยพี่น้องประชาชน ที่ทางสถาบันวัคซีนฯ แม้ว่าจะได้พยายามอย่างเต็มที่แล้วก็ยังจัดหาวัคซีนได้ไม่เพียงพอต่อสถานการณ์ที่เราไม่คาดคิด ในการระบาดโควิด-19 ที่เราไม่เคยเจอ และการกลายพันธุ์ที่ไม่สามารถคาดหมายได้ล่วงหน้า ทำให้การระบาดรวดเร็วกว่าช่วงปีที่แล้ว การจัดหาวัคซีนไม่ตรงสถานการณ์ ต้องขอกราบอภัยอีกครั้ง”
ขณะที่รัฐบาลพยายามแก้ปัญหาด้วยการเจรจากับผู้ผลิตวัคซีนให้ส่งวัคซีนมาเพิ่มเติม โดยล่าสุดกระทรวงสาธารณสุขได้เซ็นสัญญาซื้อวัคซีนไฟเซอร์และโมเดอร์นา
มีคำมั่นสัญญาว่าการจัดหาวัคซีนได้ 100 ล้านโดส ภายในปีนี้ตามแผนแน่นอน
ประกอบด้วย แอสตร้าเซนเนก้า 61 ล้านโดส ซิโนแวค 19 ล้านโดส และไฟเซอร์ 20 ล้านโดส
อย่างไรก็ตาม วัคซีนที่เพิ่งสั่งซื้อจะเข้ามาในไตรมาส 4
หมายความว่า 2 เดือนข้างหน้านี้ยังอันตราย
คาดการณ์ว่าอาจมีผู้ติดเชื้อสูงสุดถึง 3 หมื่นรายต่อวัน
ความเจ็บตายของประชาชนที่เกิดขึ้นทุกวัน มาตรการล็อกดาวน์ที่ยังไม่เห็นผล จึงต้องสั่งขยาย
ทั้งขยายพื้นที่จาก 10 จังหวัดสีแดงเข้ม เป็น 13 จังหวัดสีแดงเข้ม
ทั้งขยายการปิดกิจการเพิ่มขึ้น
ทั้งพื้นที่และกิจการที่จะถูกปิดยังมีโอกาสเกิดขึ้นต่อไป เพราะการระบาดยังไม่ยุติ ทำให้ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนเริ่มทนไม่ไหว
กระทั่งเกิดปรากฏการณ์ คอลเอาต์ ขึ้นมา
กลุ่มคนดัง โดยเฉพาะดารานักร้อง ที่ทนเห็นประเทศไทยอยู่ในสภาพปัจจุบันไม่ได้ ต่างออกมาแสดงพลัง
Call Out
ปฏิกิริยาจากการคอลเอาต์คือการขู่ดำเนินคดี และยังมีผู้ใกล้ชิด พล.อ.ประยุทธ์ ยื่นดำเนินคดีกลายเป็นกระแสเกลียดชังรัฐบาล และกระตุ้นความต้องการความเปลี่ยนแปลง
เรื่องเช่นนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ก็รู้ตัว
การประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ มองดูคำถามที่ผู้สื่อข่าวส่งมาให้
พบคำถามเกี่ยวข้องกับความเคลื่อนไหวของพรรคร่วมรัฐบาล
พล.อ.ประยุทธ์ ถึงกับพูดในที่ประชุม ครม.
“ถ้าท่านจะออกจากผมก็แล้วแต่ ผมก็จะทำงานของผมต่อไป ผมไม่ทิ้งคุณ พวกคุณจะทิ้งผมก็ตามใจ”
รุ่งขึ้นเสียงจากพรรคร่วมรัฐบาลคือการให้กำลังใจบิ๊กตู่
ส่งสัญญาณรัฐบาลจับมือกันแน่น แม้เสียงนอกสภาจะเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าพรรคร่วมรัฐบาลไม่เอาด้วย ก็ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้
เพราะการลาออก การปรับ ครม. และการยุบสภา ซึ่งเป็นหนทางของการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรี
เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ยืนยัน “ผมจะทำงานของผมต่อไป”
เมื่อพรรคร่วมรัฐบาลคล้อยตาม และให้กำลังใจนายกฯให้ทำงานต่อ
เมื่อรัฐบาลมีทิศทางสวนทางกับเสียงคอลเอาต์ อุณหภูมิทางการเมืองจึงเดือดปุด
รัฐบาลจะทำอะไรก็ไม่เข้าตากรรมการ
ในการพิจารณางบประมาณ กระทรวงกลาโหมเสนองบประมาณจัดซื้อเรือดำน้ำไปตามหน้าที่ แต่กระแสสังคมกลับต่อต้านอย่างหนัก
ขณะที่บนถนน “คาร์ม็อบ” เริ่มขยายตัว และได้รับการตอบโต้จากตำรวจด้วยรถฉีดน้ำ แก๊สน้ำตา และกระสุนยาง ซึ่งใช้ภาษีประชาชนจัดซื้อมา
ยิ่งกระตุ้นความโกรธให้กลุ่มที่ไม่ชอบรัฐบาล กล่าวหารัฐบาลใช้ภาษีประชาชนซื้ออุปกรณ์มาทำร้ายประชาชน
ผนวกกับสถานการณ์โรคโควิด-19 ระบาด เหตุผลที่น่าจะใช้เงินไปรับมือโรคระบาดมีน้ำหนักกว่า
ในที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ ต้องสั่งถอย
เช่นเดียวกับความเคลื่อนไหวของเหล่าดารานักร้องที่ออกมาคอลเอาต์แล้วต้องถูกดำเนินคดี ได้กลายเป็นกระแสต่อต้านรัฐบาลที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง
กระทั่ง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ต้องออกมายืนยันว่า ผู้แจ้งความไม่ใช่คนของพรรค
และยืนยันว่าการคอลเอาต์รัฐบาลนั้น เป็นสิทธิเสรีภาพที่ทำได้
ตัวอย่างความเคลื่อนไหวของสังคมกับการกระทำของรัฐบาลเช่นนี้ กำลังขยายตัวเป็นความแตกแยกอีกครั้ง กระทั่งมีข่าวเรื่องการรัฐประหาร
เป็นกระแสข่าวที่เสมือนโยนหินถามทาง
แม้จะยังไม่มีความเคลื่อนไหวอย่างจริงจัง แต่กระแสข่าวการปฏิวัติมักเกิดขึ้นทุกครั้งที่สังคมอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังทหารเข้าควบคุม เพราะที่ผ่านมาได้เห็นผลที่ตามติดว่า ประเทศไปไม่รอด
ขณะเดียวกัน การจะให้รัฐบาลยอมถอยเองคงเป็นไปได้ยาก
หนทางแห่งการเปลี่ยนแปลงจึงต้องอาศัยรัฐสภาที่ประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา
โดยเฉพาะสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้ง และสัมผัสความรู้สึกของประชาชนโดยตรง
ย่อมมีสำนึก และไม่หักหลังประชาชน
ในขณะที่สมัยการประชุมสภายังเปิดอยู่ การประชุมสภาย่อมมีพลังต่อทุกการกระทำของรัฐบาล
ยิ่งในการประชุมเป็นการนำเอาความยากลำบากของประชาชนมาตีแผ่ นำเอาความต้องการของประชาชนมาเสนอ และผลักดันให้เป็นรูปธรม
การประชุมนั้นยิ่งมีพลัง
รัฐสภาเป็นกลไกสำคัญต่อการแก้ปัญหาทางการเมืองและแก้ไขปัญหาประเทศตามระบอบประชาธิปไตย
เป็นความหวังของประชาชน เพราะมีตัวแทนของพวกเขาอยู่ในนั้น
แต่หากเกิดปรากฏการณ์รัฐสภาฮั้วกับรัฐบาล สมาชิกสภาเมินเสียงคอลเอาต์
เป้าหมายต่อไปที่ “ทัวร์ลง” ย่อมหนีไม่พ้นรัฐสภา
คำสบประมาทรัฐบาลว่า “มีเหมือนไม่มี” จะเกิดขึ้นกับรัฐสภาด้วยหรือไม่
ดูการเลือกข้างที่กำลังจะเกิดขึ้น
เลือกข้างรัฐบาล เลือกข้างประชาชน