‘ไทยสร้างไทย’ เสนอการสยบโควิด-19 ‘ควบคุม-รักษา-ป้องกัน’

‘ไทยสร้างไทย’ เสนอการสยบโควิด-19 ‘ควบคุม-รักษา-ป้องกัน’ เชื่อ ตามแผนนี้สามารถคืนชีวิตปกติ-เป็นของขวัญปีใหม่ให้ ปชช.

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 25 กรกฎาคม คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย แถลงแผนสยบโควิด เปิดบ้านเปิดเมืองเปิดประเทศภายในสิ้นปี 2564 นี้ ผ่านระบบซูมว่า สืบเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้สร้างผลกระทบต่อชีวิต สุขภาพและปัญหาปากท้องของประชาชน พรรคไทยสร้างไทยจึงได้ร่วมระดมความคิดเห็นจากผู้เชียวชาญหลายสาขาหารือจัดการวิกฤตโดยใช้องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อเป้าหมายในการควบคุมโรคระบาดนี้ได้ รวมถึงลดการเสียชีวิตของประชาชนและลดผลกระทบทางเศรษฐกิจได้มากและเร็วที่สุด วันนี้ขอเสนอพิมพ์เขียวด้านสาธารณสุข ส่วนด้านการเยียวยาและฟื้นฟูเศษฐกิจ จะแถลงในวันพุธที่ 28 กรกฎาคมนี้อีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ เพื่อให้รัฐบาลนำไปใช้แก้ไขปัญหา ได้ทันกาลรวดเร็ว

ด้านสาธารณสุข เพื่อสยบโควิดให้ได้ภายในสิ้นปีนี้ เพื่อคืนชีวิตปกติให้กับประชาชนและเป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน โครงการ 30 บาทรักษาโควิดทั่วหน้า เพื่อเป็นการคุ้มครองการตรวจการรักษาป้องกันโควิดให้กับประชาชน คนไทยทุกคนต้องได้รับการตรวจเชื้อ ผู้ป่วยต้องได้รับการรักษา ต้องไม่มีประชาชนตายคาบ้านหรือตายคาถนนอีกต่อไป

Advertisement

เสนอแผนบันได 3 ขั้น 1.ควบคุมการแพร่ระบาด หัวใจคือการเร่งหาผู้ติดเชื้อและนำเข้าสู่ระบบให้ได้มากและเร็วที่สุด การสั่งล็อกดาวน์โดยไม่เร่งหาผู้ติดเชื้อจะเป็นการเจ็บและไม่จบ จึงขอเสนอให้รัฐบาลปรับแผนดังต่อไปนี้ ข้อหนึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เลิกผูกขาดการนำเข้าที่ตรวจ ยา วัคซีนของหน่วยงานของรัฐทั้งหมด และยกเลิกกฎระเบียบที่เป็นตัวขวางกั้นประชาชน ข้อสอง ต้องทำการตรวจหาเชื้อผู้ติดเชื้อที่เป็นกลุ่มเสี่ยงและในพื้นที่สีแดงและแดงเข้มทุกคน โดยใช้ Rapid Antigen test หรือชุดตรวจหาเชื้อโควิด-19 แบบเร่งด่วน ซึ่งกลุ่มอาสาสมัครภาคประชาชนในแต่ละชุมชนให้เป็นผู้ช่วยตรวจได้ เพื่อปรับวงจรการแพร่ระบาดให้เร็วที่สุด ข้อสาม ทำระบบแอพพลิเคชั่นให้ผู้ที่ตรวจแล้วผลเป็นบวกได้เข้าระบบและได้รับคำแนะนำจากแพทย์ และให้ร้านขายยาสามารถขายชุดตรวจหาเชื้อโควิด-19 แบบเร่งด่วน

ขั้น 2.รักษาผู้ติดเชื้อ ต้องปรับระบบการบริหารจัดการใหม่ทั้งหมด โดย ข้อหนึ่ง ยกเลิกกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อผู้ป่วยในการเข้ารับการรักษา โดยเฉพาะระเบียบการจ่ายเงินของโรงพยาบาล ข้อสอง นำผู้ติดเชื้อเข้าระบบให้เร็วที่สุด ผู้ติดเชื้อที่มีอาการน้อยหรือไม่แสดงอาการให้นำเข้าโครงการ home isolation และเร่งทำ Community Isolation ให้เพียงพอโดยใช้โรงเรียน วัด หรือหอประชุมที่อยู่ใกล้ผู้ป่วย และจัดอุปกรณ์เบื้องต้นให้กับผู้ติดเชื้อและให้ผู้ติดเชื้อรายงานอาการผ่านแอพพลิเคชั่น สำหรับผู้ติดเชื้อที่มีอาการไม่มากต้องเริ่มให้ยาฟาวิพิราเวียร์ เพื่อที่จะลดอาการป่วยหนักและการเสียชีวิตของประชาชน โดยต้องตั้งเป้าหมายให้คนหายป่วยและกลับบ้านได้ตั้งแต่ตอนที่มีอาการไม่มากจะได้ไม่ต้องไปต่อในเตียงเหลืองและเตียงแดงนี้เป็นกลไกลสำคัญ ดังนั้น ถ้ามีการบริหารจัดการเช่นนี้อย่างมีประสิทธิภาพและแก้ไขปัญหาเตรียมแผนแก้ไขปัญหาประชาชนไม่ได้รับการรักษาและลดภาระของแพทย์พยาบาลลงไปอย่างมาก

ขั้น 3.ป้องกันสูงสุด คือการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ที่คนไทยจะสามารถใช้ชีวิตกับโรคโควิดได้อย่างปลอดภัยมากขึ้นเพราะโรคโควิดจะอยู่กับเราอีกนาน ปัญหาในปัจจุบันวัคซีนหลักไม่มีประสิทธิผลเพียงพอและการฉีดล่าช้า จึงขอปรับแผนเป็น เปลี่ยนวัคซีนหลักของประเทศให้เป็นวัคซีนกลุ่ม mRNA ร่วมกับแอสตร้าเซนเนก้า ที่สั่งไว้เดิม ต่อมาระดมฉีดขั้นต่ำที่ 500,000 โดสต่อวัน ให้ได้เดือนละ 15 ล้านโดส สำหรับผู้ที่ได้รับวัคซีนซิโนแวคไปก่อนหน้านี้ให้มาฉีด booster shot (บูสเตอร์ช็อต) เป็น mRNA แผนที่รัฐบาลประกาศเมื่อวันที่ 16 มิถุนายนที่ผ่านมา ว่าเปิดประเทศให้ได้ภายใน 120 วัน หากยังทำตามแผนของรัฐบาลจะไม่สามารถเปิดประเทศภายใน 120 วันได้ แต่เราจะเปิดประเทศได้จริงคือช่วงกรกฎาคมปี’65 เพราะแผนในปัจจุบันระยะเวลาในการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนจะถึงไตรมาส 3 ปีหน้า และคนไทยทุกคนจะได้รับครบ 2 เข็ม เกือบปลายปี’65 หากปรับแผนจะทำให้คนไทยรับวัคซีน 1 เข็มได้ปลายปีนี้ และครบ 2 เข็มในต้นปีหน้า และขอให้รัฐบาลยกเลิกการใช้ซิโนแวคก่อนสิ้นปีนี้และจะไม่มีการสั่งซื้อเพิ่มอีก ให้จัดหา mRNA เร่งด่วนที่สุด คนไทยส่วนใหญ่จะได้รับวัคซีนครบทำให้ประชาชนเกิดภูมิคุ้มกันหมู่เปิดประเทศได้เศรษฐกิจจะกลับมาในปี’65

Advertisement

“ขอเสนอที่พรรคจัดขึ้นเป็นความห่วงใยต่อการแพร่ระบาดที่ตอนนี้สถานการณ์เดินมาถึงจุดวิกฤตถึงเวลาที่ทุกฝ่ายจะต้องร่วมแรงร่วมใจ ร่วมกันผลักดันแผนบริหารจัดการวัคซีนที่มีประสิทธิผลและร่วมกันนำชีวิตปกติสุขของประชาชนจะกลับคืนมา” คุณหญิงสุดารัตน์กล่าว

ผู้ข่าวถามว่า จากการแถลงข่าวของทางสาธารณสุขที่ระบุว่าวัคซีน mRNA จะเข้ามา 120 ล้านโดส ในกลางปี’65 ถ้าเข้ามาในช่วงเวลานั้นช้าเกินไปหรือไม่ คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวว่า ช้าเกินไป เนื่องจากวัคซีนทั้งหมดที่ใช้เป็นวัคซีนฉุกเฉินไม่ได้พัฒนาตามกระบวนการ มีเทคโนโลยีสร้างภูมิคุ้มกันได้ 6 เดือนหรือไม่ก็ไม่เกิน 1 ปี จึงต้องฉีดวัคซีนให้ได้ภายใน 6-8 เดือน จึงจะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้ ถ้าตามแผนของรัฐบาลจะช้าเกินไปและจะไม่สร้างภูมิคุ้มกันหมู่และเราก็จะต้องอยู่อย่างนี้มีเชื้อตัวใหม่กลับมาระบาดเรื่อยๆ และในวันนี้ประเทศในอเมริกา แคนาดา วัคซีน mRNA เหลือเยอะ ถ้ารัฐบาลเพียงพยายามให้มากขึ้นก็สามารถสั่งได้

ผู้สื่อถามว่า การที่ประเทศไทยไม่เข้าร่วมโครงการ COVAX (โคแวกซ์) ตั้งแต่แรกเกิดจากอะไรและถ้าเข้าตอนนี้ถือว่าช้าไปหรือไม่ คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวว่า จากที่รัฐบาลเคยชี้แจงว่า การไม่เข้าร่วมโคเเวซ์จะได้วัคซีนราคาแพงและได้วัคซีนช้า แต่ในวันนี้ก็ได้เห็นผลแล้วว่าตรงกันข้ามในทุกประเด็น ตนก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตัดสินใจเช่นนั้น ในช่วงนั้นปีที่แล้วเราอาจจะคิดว่าวัคซีนไม่จำเป็นเราเอาอยู่ เมื่อชะล่าใจแต่การกลายพันธุ์เร็วมาก การเข้าสู่โครงการโคเเวกซ์ไปแต่ก็ยังดีกว่ายังไม่เข้า และก็ต้องแจงเจรจากับทางโคแวซ์ว่าเราอยู่ในประเทศที่เป็นข้างขึ้นของการระบาด ก็ขอโคแวซ์ในการจัดสรรวัคซีน

เมื่อถามว่า ระหว่างนี้ที่ยังจัดหาวัคซีนไม่เพียงพอตัวโมเดลอย่างภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ สมุยแซนด์บ็อกซ์ ยังคงต้องดำเนินควบคู่ไปด้วยหรือไม่ คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวว่า เป้าหมายของตนต้องการให้เปิดเรือเปิดประเทศและการทำมาหากินได้ในสิ้นปีนี้ เพื่อลดความเสียหายทางเศรษฐกิจ ดังนั้น โครงการต่างๆ ไม่ต้องการยกเลิกแต่ข้อเท็จจริงก็ลำบากที่จะเดินต่อ เพราะรัฐบาลสั่งล็อกดาน์ไม่ให้บินภายในประเทศและอัตราผู้ติดเชื้อสูง แล้วคิดว่าต่างชาติจะกล้ามาเที่ยวประเทศไทยได้อย่างไร คนไทยก็เดินทางไม่ได้ในข้อเท็จจริงมันเกิดไม่ได้ จึงอยากให้รัฐบาลอยู่กับความเป็นจริง แล้วใช้หลักวิทยาศาสตร์หลักระบาดวิทยาแก้ไขปัญหาและเร่งนำข้อเสนอที่เป็นหัวใจในการแก้ไขปัญหาไปปรับใช้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image