บิ๊กตู่ ชี้ ไทยมีโอกาสยกฐานะเป็นประเทศโลกที่1 เดินหน้าปฏิรูป-ขจัดการทำลายชาติ

บิ๊กตู่ ย้ำ ปฏิรูป “กองทัพ-ตำรวจ” หวังเป็นที่พึ่งปชช. ชี้ ประเทศอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญ หากไม่ทำคนไทยจะเสียโอกาสมหาศาล ขอ ประชาชนเปิดใจ เชื่อมือรัฐบาล บริหารประเทศ ย้ำ ใช้อำนาจพิเศษให้เกิดความเรียบร้อย ซัดการเมืองไม่มีธรรมภิบาล เป็นภัยร้ายแรงทำลายชาติ ย้ำ ขจัดให้หมดจากแผ่นดิน ยัน รัฐบาลยืนเคียงข้างประเทศไทย

วันนี้ (15 กันยายน) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช. ) กล่าวแถลงผลงานรัฐบาล นายกฯ กล่าวว่า ในด้านความมั่นคง รัฐบาลทำให้การเผชิญหน้า ความแตกแยก แบ่งฝักฝ่ายลดน้อยลง คนไทยอยู่กันอย่างสงบสุขมากขึ้น สถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนใต้ เราเน้นการพูดคุย เพื่อแสดงความจริงใจ ใช้การแก้ไขปัญหาด้วย “สันติวิธี” เน้นการพัฒนาพื้นที่ให้เจริญทั้งด้านจิตใจ สังคม การศึกษา และเศรษฐกิจ เพื่อให้ทุกคนอยู่ดีกินดีมีความสุข รวมทั้งส่งเสริมการวิจัย การพัฒนา นวัตกรรม เพื่อความมั่นคงมีเสถียรภาพและศักยภาพในการแข่งขันของประเทศในอนาคต รวมทั้งวางแนวทางการปฏิรูปกองทัพ ปฏิรูปตำรวจ เพื่อให้เป็นสถาบันที่เป็นที่พึ่งของประชาชน รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์รักษาทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไว้เพื่อคนไทยทุกคน ในด้านเศรษฐกิจ มีการวางระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมและ ไอซีทีเพื่อลดต้นทุนและยกระดับโลจิสติกของประเทศ กระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคด้วยการสร้างโครงข่ายการคมนาคมทั้งทางบก ทางอากาศ ทางน้ำ เพื่อเชื่อมโยงไปสู่ ประเทศในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง CLMV+ ประเทศในกลุ่มอาเซียน ASEAN+ และทุกภูมิภาคของโลก ผลักดันเขตเศรษฐกิจพิเศษในทุกภูมิภาค สนับสนุนผู้ประกอบการรายใหม่ ทั้ง กลุ่มสตาร์ทอัพบวกเอสเอ็มอีบวกโอทอป โดยใช้นวัตกรรมเป็นตัวขับเคลื่อน และสนับสนุนให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน ปฏิรูปการเกษตรกรรมโดยใช้องค์ความรู้และเทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุนการผลิต รวมทั้งวางระบบการบริหารจัดการน้ำที่ครอบคลุมทั้งประเทศ แก้ไขกฎหมายเพื่ออำนวยความสะดวกต่อการประกอบธุรกิจ (Ease of doing business) / และที่สำคัญคือการผลักดันประเทศเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล

หัวหน้าคสช.กล่าวว่า ในด้านสังคม มีการปราบปรามผู้มีอิทธิพล ปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นในทุกระดับโดยการตั้งกลไกในแต่ละหน่วยงาน การจัดระเบียบสังคม จัดระเบียบรถโดยสารสาธารณะ การจัดการปัญหาการบุกรุกคูคลองพื้นที่สาธารณะ ผลักดันสวัสดิการทางสังคม เพื่อดูแลผู้ด้อยโอกาสและผู้มีรายได้น้อย กำหนดให้เด็กไทยเรียนดีอย่างมีคุณภาพ 15 ปี ที่สำคัญมีการปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้ทุกคนในสังคมมีความสุขร่วมกัน คนมีมากก็ควรแบ่งปันมาก ด้วยภาษีมรดก ภาษีที่ดิน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของสังคม ส่วนด้านการต่างประเทศ ผมและคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศทางานอย่างหนักในทุกเวทีระดับนานาชาติ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ของประเทศ เราตอบสนองและผ่อนคลายหลายสิ่งตามความคาดหวังและพันธะสัญญาที่เราได้ให้ไว้ ในช่วงหลายรัฐบาลที่ผ่านมา รวมทั้งแสดงบทบาทนำในเวทีโลกด้วยนโยบายการต่างประเทศเชิงรุก อย่างสร้างสรรค์ และสมดุล จนได้รับความไว้วางใจให้เป็นประธานกลุ่มประเทศจี77 ซึ่งมีสมาชิกทั้งหมด 134 ประเทศ รวมทั้งให้ความร่วมมือในการแก้ปัญหาของประเทศตามหลักสากล อาทิ การแก้ไขปัญหาไอยูยู ปัญหาการบินพลเรือนที่ไม่ได้มาตรฐาน (ไอเคโอ) ปัญหาการค้ามนุษย์ การค้างาช้าง

“ในด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม รัฐบาลมุ่งสร้างความยุติธรรมในสังคมด้วยการทำกฎหมายให้เป็นกฎหมาย กฎหมายฉบับใดที่ยังล้าสมัยเราต้องปรับปรุง เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และรัฐต้องไม่เสียประโยชน์ ประชาชนต้องไม่เดือดร้อน ปฏิรูประบบงานราชการและการให้บริการประชาชนให้มีประสิทธิภาพ ง่าย สะดวก รวดเร็ว รวมทั้งออกกฎหมายใหม่ที่สอดคล้องกับกฎบัตร พันธะใหม่ ๆ ที่ประเทศต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้กฎหมายกลายเป็นอุปสรรค แต่ต้องเป็นเครื่องมือที่สร้างความยุติธรรมและกติกาที่เป็นธรรม ที่สำคัญ กฎหมายต้องสามารถสนับสนุนการบริหารงานราชการแผ่นดินในทุกมิติ อีกทั้งยังมีกฎหมายอำนาวยความสะดวก ประชาชนข้างล่างต้องเรียนรู้ เวลาไปติดต่อหน่วยงานราชการ ใครจะเรียกเงินเรียกทองไม่ได้อีกแล้ว ฉะนั้นขอเตือนทุกคนทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะขอสร้างบ้าน ขอน้ำขอไฟ มีระยะเวลาที่ข้าราชการต้องเร่งให้ทันตามกำหนด เรื่องของกฎหมายจะต้องสอดคล้องระหว่างประเทศด้วย จะคิดใช้ความรู้สึกตัวเองเป็นไปไม่ได้ เพื่อไม่ให้กฎหมายกลายเป็นอุปสรรค แต่จะเป็นเครื่องมือสร้างความยุติธรรม และสามารถสนับสนุนการบริหารราชการแผ่นดินได้ในทุกมิติ” นายกฯกล่าว

Advertisement

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาล และ คสช. ทำบางอย่างสำเร็จแล้ว บางอย่างเริ่มทาตามห้วงเวลา บางอย่างวางแผนแม่บทไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้รัฐบาลใหม่ดำเนินการ ซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามรัฐธรรมนูญใหม่ ทั้งการออกกฎหมายลูก กฎหมายในเชิงบูรณาการหน่วยงานและงบประมาณ การจัดทำแผนงาน แยกเป็นกิจกรรม ที่มีโรดแมปในทุกกิจกรรมหลัก ซึ่งกล่าวโดยสรุป ประเทศได้ผ่านช่วงระยะที่ 1 ในโรดแมป ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน และพี่น้องประชาชนมีส่วนร่วมกับรัฐบาลในการแก้ไขปัญหานั้นรัฐบาล คสช. ขอบคุณในความร่วมมือของประชาชน ข้าราชการ ภาคธุรกิจ เอกชน ที่เข้าใจและสนับสนุนให้รัฐธรรมนูญ และ คำถามพ่วง ผ่านการลงประชามติ ตามหลักการสากล ตลอดจนให้กาลังใจในการทางานของรัฐบาลเสมอมา ในแนวทางการดำเนินงานในอนาคต ปัจจุบันเป็นระยะที่ 2 ของโรดแมปคือการเริ่มต้นปฏิรูปในเชิงโครงสร้าง ปฏิรูปการบริหารราชการ และการจัดทำแผนที่นำทางไปสู่อนาคตตามวิสัยทัศน์ มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ขอย้ำอีกครั้งว่า ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ ถ้าไม่ทำวันนี้ โอกาสของประเทศไทย โอกาสของคนไทยจะสูญเสียไปอย่างมหาศาลและยากที่จะเรียกกลับคืนมาได้

นายกฯ กล่าวต่อว่า เราจำเป็นต้องนำเอาปัจจัยภายใน อาทิ อัตลักษณ์ ประเพณี ความเป็นคนไทย ความแตกต่างทางความคิด ความสามารถในการแข่งขัน ทุนทางทรัพยากรของประเทศ และปัจจัยภายนอกมาเป็นตัวกำหนด ว่าประเทศไทยควรจะทำอย่างไร ด้วยวิธีการใด จึงจะเกิดผลดีที่สุดกับประชาชนคนไทย ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้ และจะดำเนินต่อไป โดยที่ประเทศไทยต้องปรับตัวให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงนั้น ได้แก่ ปัญหาสภาวะอากาศเปลี่ยนแปลง / การขยายตัวทางเศรษฐกิจแนวใหม่ที่มีการแข่งขันสูงขึ้น มีเสรีมากขึ้น มีกรอบกติกาพันธะสัญญาใหม่ ๆ มากมายที่เราต้องยึดถือปฏิบัติ การมีมติแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ การค้า การแข่งขันด้วยนวัตกรรม ทำให้ความได้เปรียบด้านราคาและมูลค่าการส่งออกของประเทศไทยน้อยลงตามลำดับ ราคาสินค้าทางการเกษตรตกต่ำ ปัญหาภัยธรรมชาติ น้ำท่วม ฝนแล้ง ปัญหายาเสพติด ภัยจากการก่อการร้าย อาชญากรรมข้ามชาติ โรคระบาด การโยกย้ายถิ่นฐานที่ไม่ปกติ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นความเสี่ยงของประเทศไทย หากไม่เตรียมการ ไม่ปฏิรูปตนเอง หามาตรการใหม่ๆ มารองรับ เราก็จะเผชิญปัญหาเหมือนในอดีตที่ผ่านมา

นายกฯ กล่าวว่า นอกเหนือจากการรักษา “โมเมนตัม” ในการบริหารประเทศ ทั้ง 6 มิติ เพื่ออนาคตของประเทศแล้วดังกล่าวแล้ว ภารกิจสำคัญของรัฐบาลในอนาคตจากนี้ คือ การสร้างฐานรากสู่อนาคต ตามโมเดล “ไทยแลนด์ 4.0” ประกอบด้วย 10 ภารกิจหลัก คือ 1.การเตรียม “คนไทย 4.0” สู่ประเทศโลกที่ 1 2.การเร่งพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ 3.การเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต 4.การสร้างความเข้มแข็งในวิสาหกิจไทย 5.การยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางปัญญา 6.การสร้างความเจริญเติบโต ที่กระจายสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น ผ่านจังหวัด – กลุ่มจังหวัด 7.การเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ ภายในประเทศ 8.การสร้างสังคมที่เป็นธรรม สังคมแห่งโอกาส และสังคมที่เกื้อกูลแบ่งปันกัน 9.การบูรณาการอาเซียน และการเชื่อมโยงไทยสู่ประชาคมโลก รวมทั้ง 10.การขับเคลื่อนประเทศ ผ่านกลไก “ประชารัฐ”

Advertisement

“สิ่งสำคัญที่สุดที่รัฐบาลจะเร่งดาเนินการอย่างต่อเนื่องในระยะที่ 2 ของการบริหารราชการแผ่นดิน คือการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้วยการศึกษาตลอดชีวิต การวางระบบการสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน เพื่อให้ประชาชนแข็งแรง มีสุขภาพดี “สร้างนำซ่อม” (ส่งเสริมให้มีสุขภาพแข็งแรง ดีกว่าเน้นเรื่องการรักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วยแล้ว) การวางระบบประกันสุขภาพที่ต้องเอื้อประโยชน์ที่ดีขึ้นแก่ประชาชน สนับสนุนการลงทุนภายในประเทศด้วยการสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ทันสมัยไปพร้อมกับปรับปรุงของเดิมที่ล้าสมัย ไม่สมบูรณ์ ไม่ก่อให้เกิดรายได้เท่าที่ควร การพัฒนาระบบโลจิสติกที่เชื่อมโยงการขนส่งสินค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งเร่งผลักดัน 10 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ทั้งอุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพ หรือกลุ่ม S Curve และอุตสาหกรรมอนาคตหรือ New S Curve ปฏิรูปการเกษตรกรรมโดยใช้องค์ความรู้และเทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุนการผลิต เป็นสิ่งที่ต้องทำไปพร้อมกัน เพื่อให้เกิดการสร้างอาชีพและการจ้างงาน รวมถึงการพัฒนาฝีมือแรงงาน ซึ่งต้องสัมพันธ์กับความต้องการแรงงานภายในประเทศและในประเทศเพื่อนบ้าน

นอกจากนี้เราจำเป็นต้องเปลี่ยนจากการค้าขายสินค้าเกษตรต้นน้ำ ไปสู่การสร้างสินค้าเกษตรนวัตกรรมเพื่อการแข่งขัน เพราะรายได้ของประเทศ ปัจจุบัน 70 เปอร์เซ็นต์ มาจากการส่งออก และส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกษตรกรรมต้นน้ำที่มีมูลค่าไม่สูง ส่วนอุตสาหกรรมพื้นฐานในประเทศจำเป็นต้องมีการปรับปรุง สร้างนวัตกรรมเพื่อการแข่งขัน ต้องหารายได้มากขึ้นจากทั้งการค้า และการลงทุนการปรับโครงสร้างการเกษตร

นายกฯ กล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลทำมาตลอดและจะดำเนินการต่อไปคือการดูแลประชาชนผู้ด้อยโอกาสและผู้มีรายได้น้อยให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย /ยกระดับคุณภาพชีวิตให้มีมาตรฐาน มีศักดิ์ศรี และมีโอกาสทางสังคมที่ดียิ่งขึ้น รัฐบาลมุ่งมั่นการทำงานแบบบูรณาการให้เกิดการประสานสอดคล้อง เชื่อมโยง เพราะทุกปัญหาของหลายหน่วยงานมีความเกี่ยวข้องและมีผลกระทบซึ่งกันและกัน จากเดิมที่อาจมีการบริหารราชการในลักษณะบนลงล่าง เป็นแท่งงานของแต่ละกระทรวง ใช้งบประมาณของตนเองขาดจากกัน ปัจจุบันเราต้องบริหารงานทั้ง ล่างขึ้นบน บนลงล่าง ในแนวตั้ง และแนวนอน โดยใช้กลไกประชารัฐควบคู่กันไป ฟังความต้องการ เอาปัญหาของประชาชนมาเป็นตัวกำหนด โดยต้องแยกกลุ่มเป้าหมาย ทั้งรายได้มาก รายได้ปานกลาง รายได้น้อย มาทาให้เกิดห่วงโซ่ในการทางาน ห่วงโซ่ในการสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจ เพื่อให้ทุกฝ่ายเกื้อกูลซึ่งกันและกัน เราทิ้งใครไว้ไม่ได้ สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมด ก็เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้มองเห็นอนาคตว่า 20 ปีข้างหน้า ประเทศไทยควรเป็นอย่างไร รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลจะต้องดำเนินการอย่างไรให้สิ่ง เหล่านั้นเกิดขึ้นได้จริง เพื่อให้ประเทศหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง ความขัดแย้ง ความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรม

“สำหรับปัญหาข้อขัดข้องบางประการรัฐบาลพยายามดำเนินการทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว บางเรื่องเกิดผลสำเร็จ บางเรื่องยังติดขัดบ้าง เนื่องจากปัจจัยหลายประการ อาทิ กฎหมายที่ไม่ทันสมัย ไม่ทันต่อสถานการณ์ ประชาชนบางกลุ่มยังไม่เปิดใจรับการพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ ไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลง โครงการพัฒนาหลายโครงการไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เพราะไม่ผ่านการทำประชาพิจารณ์ การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมอีไอเอและการประเมินผลกระทบสุขภาพอีเอชไอเอ แม้โครงการดังกล่าวจะมีการพัฒนา หรือมีการใช้เทคโนโลยีหรือเทคนิคใหม่ ๆ แล้วก็ตาม เพราะประชาชนไม่ให้ความสำคัญกับข้อมูลหลักการที่ถูกต้อง บางส่วนเป็นเพราะไม่เชื่อมั่นกระบวนการตรวจสอบมาตรฐานของรัฐในการดำเนินโครงการต่างๆ ในอดีต จึงนำมาสู่การคัดค้านต่อต้านโครงการพัฒนาในปัจจุบัน อยากขอให้ประชาชนเปิดใจ มั่นใจ การทำงานของรัฐบาลปัจจุบัน อย่ามองแต่เฉพาะผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นกับตนเอง จนลืมมองว่าประเทศไทยไม่สามารถย่ำอยู่กับที่ จำเป็นต้องพัฒนาต่อไปไม่หยุดยั้ง” นายกฯกล่าว

นายกฯ กล่าวต่อว่า การแก้ไขปัญหาที่ผ่านมานั้นแก้ด้วยกฎหมายปกติเป็นส่วนใหญ่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย ถึงแม้เราจะมาแบบนี้ก็ตาม การใช้อำนาจพิเศษเป็นเพียงเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อย รักษาสถาบัน เกิดการบูรณาการในทางสร้างสรรค์ ไม่ติดขัดในการทำงาน ทุกหน่วยงานจะมีกฎหมายเฉพาะซึ่งอาจจะทำให้ล่าช้า ไม่ทันต่อเวลาและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะในเวลาจำกัดที่เราเข้ามาบริหารราชการตอนนี้ ซึ่งเราใช้ทั้งกฎหมายปกติและกฎหมายพิเศษตามแนวทางนี้ตลอดไปเมื่อสถานการณ์ดีขึ้นก็ผ่อนคลายอย่าไปทำให้มันย้อนกลับมาที่เดิมอีก

“การเมืองที่ไม่มีธรรมาภิบาล ไม่เคารพกฏหมาย เบี่ยงเบนประเด็น หาผลประโยชน์เพื่อกลุ่มตนพวกพ้วง ไม่เคารพกระบวนการยุติธรรม เหล่านี้ล้วนเป็นการทำลายชาติและเป็นภัยร้ายแรงของประเทศจะต้องถูกขจัดให้หมดไปจากแผ่นดิน อย่าเอาอะไรไปเชื่อมโยงบอกว่าไปทำเรื่องจราจรแล้วมาบอกว่าผมโวฟุ้ง มันใช่หรือไม่ต้องเอาสิ่งที่พูดไปทำขยายความเข้าใจขอความร่วมมือกับประชาชนให้ช่วยกันแต่นี่ตีรัฐบาลทุกวันจับผิดทุกเรื่องผมก็ขอร้องแค่นั้นเอง เราไม่ใช่ศัตรูกันอีกแล้วทุกคน” นายกฯกล่าว

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่าแม้รัฐบาลและ คสช. จะทำอะไรได้ดีเพียงไร ทั้งแก้ไขปัญหา จัดทำกฎหมาย ปรับโครงสร้าง สร้างความเข้าใจ และการรับรู้ ก็ยังมีผู้ไม่หวังดี บิดเบือน อย่าไปขยายความเพราะจะไปยังต่างเทศด้วย หนังสือพิมพ์ทุกเว็บไซด์ทุกอันไปต่างประเทศหมดและถ้าเขียนไม่ดีขึ้นมาไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ทำลายประเทศตัวเอง โดยการอ้างประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน ซึ่งที่ผ่านมามีทุกอย่างให้ทุกอย่างและเป็นอย่างไรบ้านเมือง

นายกฯกล่าวอีกว่า ผู้บริหารราชการแผ่นดินทำอย่างไรขอเวลาแค่เปลี่ยนผ่านเพื่อประเทศไทยต่างชาติก็ต้องเข้าใจ ตนไม่อยากจะกล่าวอ้างเพราะไม่ได้มีแค่เฉพาะประเทศไทยทุกประเทศล้วนแต่ผ่านเวลายากลำบากมาทั้งสิ้น วันนี้อาจจะช้าไปหน่อยแต่ก็กำหนดกรอบโดยปัจจัยภายในและภายนอก เราอย่ามาดึงกันเองด้วยการไม่เคารพกฎหมายกระบวนการยุติธรรม ละเมิดสิทธิมนุษยชนผู้อื่น อย่าหาว่ารัฐบาลละเมิดมนุษยชนผู้อื่นเพราะท่านก็ละเมิดสิทธิมนุษยชนเช่นกัน

นายกฯกล่าวด้วยว่า การทุจริตไม่ใช่เรื่องเงินตราอย่างเดียว การดำเนินกิจกรรมการเมืองที่ไร้ธรรมาภิบาล การแสวงหาผลประโยชน์เพื่อกลุ่มและพวกพ้อง ถ้ามีบอกมาอย่ากล่าวหาพูดโดยไม่มีหลักฐาน อย่าพูด ต้องเข้ากระบวนการยุติธรรมขอให้แจ้งมาตรวจสอบให้ทุกเรื่อง เพราะจะเจตนาหรือไม่เจตนา แม้จะด้วยความหวังดีแต่ก็กระทบต่อการทำงานทั้งวันนี้และวันหน้า ข้าราชการก็หมดกำลังใจประชาชนก็สับสนก็สับสน อย่าตกเป็นเครื่องมือ หรือหลงเชื่อข้อมูลจากผู้ไม่หวังดี ที่สำคัญ ต้องไม่ยอมให้คนเหล่านี้มาชี้นำ มีอิทธิพล อย่าไปเป็นปากเสียงให้เขา คนที่ทำผิดกฎหมายอย่าให้กลับมามีที่ยืนในสังคมไทยได้อีกต่อไป

นายกฯกล่าวว่า ภารกิจของรัฐบาลชุดนี้ในอีกปีเศษข้างหน้า ซึ่งเป็นระยะที่ 3 ของโรดแมป คือ การ “ส่งไม้” ส่งมอบหน้าที่ต่อให้กับรัฐบาลชุดใหม่ ภายหลังการเลือกตั้ง ซึ่งจะต้องรับภารหน้าที่ในการบริหารประเทศช่วงเปลี่ยนผ่านซึ่งถ้าเปลี่ยนผ่าน “สำเร็จ” เราจะมีโอกาสยกฐานะไปสู่ “ประเทศในโลกที่ 1” นั่นหมายถึงประเทศที่พัฒนาแล้ว ประเทศที่มีรายได้เฉลี่ยของประชากรสูงขึ้น มีระบบสวัสดิการที่สมบูรณ์ ประชากรมีคุณภาพชีวิตที่ดี ปัญหาสังคมปัญหาอาชญากรรมลดลงมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ความสุขสงบเกิดขึ้นทั่วทุกพื้นที่ในประเทศ การเมืองที่มีเสถียรภาพ นักการเมืองมีธรรมาภิบาล สังคมมีกฏกติกา ผู้คนมีระเบียบวินัย เศรษฐกิจเจริญเติบโตเข้มแข็ง ความเจริญกระจายตัวไปทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ประเทศไทยมีพื้นที่ยืนในเวทีโลกอย่างสง่างาม

นายกฯกล่าวอีกว่า ขอขอบคุณที่พี่น้องประชาชนอีกครั้ง ที่เข้าใจ และไว้วางใจรัฐบาลก็มีอยู่บ้าง และขอยืนยันว่ารัฐบาลและ คสช. จะอยู่เคียงข้างท่าน และขอให้ทุกท่านอยู่เคียงข้างประเทศไทย ร่วมแรง ร่วมใจ ร่วมมือกัน ในการปฏิรูปประเทศ ไปสู่ประเทศที่เจริญก้าวหน้า ทุกสิ่งที่กล่าวมา เป็นความหวังความตั้งใจของตน ของคณะรัฐมนตรีทุกท่าน และเชื่อว่าเป็นความหวังของคนไทยทุกคน ตนมั่นว่าทุกเรื่องเป็นจริงได้ ถ้าคนไทยทุกคนร่วมมือ ร่วมใจ เดินไปด้วยกันทุกคน และความสำเร็จนี้จะเป็นความสำเร็จร่วมกันของเราทุก

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image