คนตกสีที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง : โกงความตาย

หากวาดภาพแบบบุคลาธิษฐานแล้ว สถานการณ์ตอนนี้เสมือนว่ามียมทูตที่มองไม่เห็นตัวเคลื่อนลอยอยู่ในอากาศ เมื่อปะเข้ากับคนที่โชคร้ายก็จะจับแขนขากลับบ้านไปด้วยเพื่อนำพาความตายให้แบบสุ่ม

ยิ่งถ้าบ้านนั้นอยู่รวมกันเป็นครอบครัวก็อาจเป็นเรื่องน่าเศร้าที่ยมทูตนั้น อาจจะพาสมาชิกคนอื่นไปด้วย หรือที่โหดร้ายกว่าคือ ผู้ที่มันติดสอยห้อยตามเข้ามาได้รับการยกเว้นให้รอดชีวิต แต่เป็นคนอื่นในครอบครัวที่มันเลือกพาไป

หนทางเดียวที่จะป้องกันความตายแบบสุ่มมิให้ยมทูตไร้ตนนี้แตะต้องได้ คือ วัคซีนที่มีประสิทธิภาพโดยสองชื่อที่คนไทยรู้จักคุ้นกันในช่วงสามสี่เดือนนี้ คือ “ไฟเซอร์” กับ “โมเดอร์นา” ซึ่งหมายถึง วัคซีน BNT162b2 ของบริษัทไฟเซอร์ (Pfizer) ที่คิดค้นร่วมกับบริษัทไบโอเอ็นเทค (BioNTech) ของเยอรมัน และวัคซีน “โมเดอร์นา” (Moderna) ที่คิดค้นและผลิตโดยบริษัทชื่อเดียวกัน ซึ่งทั้งคู่ใช้เทคโนโลยีวัคซีนชนิดสารพันธุกรรม mRNA

สำหรับคนไทย ซึ่งรัฐบาลเลือกวัคซีนซิโนแวคของจีน และแอสตร้าเซนเนก้าของอังกฤษให้นั้น ส่วนใหญ่ยอมรับให้โมเดอร์นาเป็นวัคซีนทางเลือกสำหรับตัวเองโดยยอมจ่ายเงินจองกับโรงพยาบาลเอกชน และเรียกร้องให้รัฐบาลฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้บุคลากรทางการแพทย์ เพราะปรากฏว่าบุคลากรทางการแพทย์ส่วนใหญ่ได้รับการฉีดวัคซีนที่รัฐบาลบังคับเลือกให้แล้ว แต่ก็ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ แม้อาการจะ
ไม่หนักถึงกับล้มป่วยเสียชีวิต แต่ก็ส่งผลให้ปฏิบัติงานไม่ได้ ส่งผลต่อกำลังการรักษาของระบบโดยรวม

Advertisement

ปัญหาของวัคซีนทางเลือกสองตัวที่ได้กล่าวไป คือ ความน่าเคลือบแคลงว่าจะมีการแย่งการยักวัคซีนดังกล่าวไปโดยผิดเจตนาความตั้งใจของผู้คนข้างต้นนั่นเอง

กรณีของโมเดอร์นานั้นปรากฏว่า เมื่อได้รับการเปิดเผยจากองค์การเภสัชกรรม ซึ่งเป็นผู้เดียวที่มีอำนาจในการจัดซื้อจากบริษัทในขณะนี้ว่า จำนวนวัคซีนล็อตแรกที่จะได้ในปีนี้คือ 5 ล้านโดส จากยอดที่ประชาชนยื่นจองผ่านโรงพยาบาลต่างๆ 9 ล้านโดส ก็แน่นอนว่าผู้ที่จองทีหลังจำนวน 4 ล้านโดส ก็ต้องรอถึงปีหน้า

แต่ก็ดราม่าเข้าไปอีกเมื่อกลายเป็นว่า จำนวน 5 ล้านโดสที่จะได้ในปีนี้ที่จะเป็นของโรงพยาบาลเอกชนเอาไปจัดสรรให้ประชาชนที่จ่ายเงินจองนั้น แท้จริงแล้วเหลือ 4 ล้านโดส โดยมี 1 ล้านโดส เป็นโควต้าที่สภากาชาดไทยอ้างว่าได้ยื่นจองไว้ก่อนแล้ว แต่เมื่อไรไม่รู้ ส่งผลให้ตอนนี้โรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งออกมารับตรงๆ แล้วว่า ประชาชนที่จองวัคซีนดังกล่าวอาจจะไม่ได้รับจัดสรรวัคซีนภายในปีนี้ และขอคืนเงินค่าจองให้ทั้งหมด

Advertisement

ท่ามกลางความเคลือบแคลงของประชาชนว่าเหมือนการถูกองค์กรที่ไหนโผล่กลางปล้องออกมา
ปาดหน้าแย่งโควต้าไป จนทางสภากาชาดต้องมาชี้แจงกันวุ่นวาย เปิดเผยหลักฐานว่าได้ทำการติดต่อขอสั่งซื้อวัคซีนนี้จากบริษัทผู้แทนจำหน่ายมาก่อนหน้านี้แล้วตั้งแต่ราวต้นปี

แต่ความที่ทางสภากาชาดอุบเงียบไม่เคยเปิดเผยเรื่องนี้มาก่อน ในขณะที่เป็นฝ่ายโรงพยาบาลเอกชนอื่นๆ ทำการเรียกร้องต่อสู้จนองค์การเภสัชต้องรีบทำสัญญา หากพิจารณากันอย่างเป็นธรรมก็ยากที่จะทำให้วิญญูชนทั่วไปยอมเชื่อ ประกอบกับเรื่องน่ากังขา เพราะมีการ “ขอรับการสนับสนุน” วัคซีนอย่างน่าเกลียดอันจะได้กล่าวถึงต่อไป ทำให้สภากาชาดไทยในฐานะองค์กรสาธารณกุศลที่เคยมีภาพลักษณ์ที่ดีมาตลอด และปลอดจากความขัดแย้งทางการเมืองในสายตาของผู้คนส่วนใหญ่ก็เป็นอันเสียรังวัดไปในระดับหนึ่ง

สำหรับกรณีของวัคซีนไฟเซอร์นั้นร้อนแรงสดใหม่กว่า เนื่องจากในล็อตแรกนี้เพิ่งได้รับบริจาคมาจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา โดยมีเจตนารมณ์เพื่อให้แจกจ่ายกระจายให้บุคลากรทางการแพทย์ หากก็ปรากฏว่าคล้ายมีความพยายามที่จะ “เบี้ยว” เพื่อหวงกันวัคซีนนี้จากผู้สมควรได้รับจนเกินปกติ

นับตั้งแต่เอกสารหลุดบันทึกการประชุมที่มีกรรมการเบอร์ใหญ่คัดค้านที่จะฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้บุคลากรทางการแพทย์ ด้วยเหตุผลว่าจะเท่ากับยอมรับว่าวัคซีนหลักที่รัฐเลือกฉีดให้ใช้กับบุคลากรทางการแพทย์นั้นไม่มีผลในการป้องกัน “แล้วจะแก้ตัวยากมากขึ้น” จนเกิดมหกรรมทัวร์ลง เพราะผู้คนรับไม่ได้ จนกระทั่งความเห็นดังกล่าวไม่ถือเป็นมติ และต้องมี “มติเป็นทางการ” ให้วัคซีนไฟเซอร์กับบุคลากรทางการแพทย์

แต่เรื่องก็ไม่ได้จบลงง่ายๆ เพียงเท่านั้น เพราะก็ปรากฏความพยายามเล่นแร่แปรธาตุกันต่อมาเป็น
ระยะๆ ตั้งแต่ว่าตอนแรกวัคซีนไฟเซอร์ที่ได้มาถึง 1.5 ล้านโดสนั้นกลับจะถูกจัดสรรให้บุคลากรทางการแพทย์เพียง 2 แสนโดส หรือราวๆ 13% เท่านั้น แล้วที่เหลือหายไปไหน จนต้องมีการแก้ตัวและเคาะตัวเลขกันใหม่ให้เป็นจำนวนที่พอยอมรับได้

หากเมื่อวันที่วัคซีนมาถึงประเทศไทยแล้ว ก็มีเอกสารหลุดออกมาอีกฉบับ ว่าด้วยเกณฑ์การคัดสรรว่าใครจะได้รับวัคซีนไฟเซอร์ล็อตนี้บ้าง เกณฑ์ดังกล่าวนั้นออกมาเหมือนกำหนดไว้เพื่อ “กันคนออก” จากวัคซีนมากกว่าพิจารณาผู้ควรเข้ามามีสิทธิ โดยไม่ได้นำเอาความเสี่ยงของบุคลากรทางการแพทย์ที่เคยได้รับหรือไม่ได้รับวัคซีนต่างๆ มาพิจารณา

แน่นอนว่าเมื่อ “ประชาทัวร์” ไปลงกันอีกรอบ ก็มีการ “กำหนดเกณฑ์ใหม่” ที่รอบนี้ก็เหมือนยอมรับได้อีกแล้ว ท่ามกลางความเหน็ดเหนื่อยอุกอั่งของประชาชนคนไทยว่า ทำไมเรื่องนี้ต้องมีกรณีให้ด่ากันแทบทุกขั้นทุกตอน และคงต้องลุ้นกันต่อไปจนถึงแพทย์พยาบาลคนสุดท้ายได้รับการฉีดวัคซีนนี้นั่นแหละ

ซึ่งความไม่ไว้วางใจของประชาชนนั้นก็หาใช่จะไม่มีมูล เพราะปรากฏว่ามีหลักฐานหลุดออกมาอยู่เนืองๆ ว่ามีความพยายาม “ขอแบ่ง” วัคซีนทางเลือกอันเป็นความหวังทั้งสองไปอย่างน่ารังเกียจ เช่นหนังสือราชการจากหน่วยงานหนึ่งในกองทัพไทยที่มีไปถึงสภากาชาดไทย “ขอรับการสนับสนุน” วัคซีนโมเดอร์นา สำหรับ “กำลังพลและครอบครัว”

ในภายหลังถึงจะแก้ตัวให้ข่าวว่าเป็นเอกสารราชการจริง แต่คนลงนามทำไปโดยพลการไม่มีอำนาจ แต่นั่นก็พอชี้มูลต่อสังคมว่าอย่างน้อยผู้ทำหนังสือน่าจะทราบมาว่าวัคซีนโมเดอร์นาในโควต้าของสภากาชาดไทยนี้อยู่ในเกณฑ์ที่หน่วยงานในลักษณะดังกล่าว “ขอรับการสนับสนุน” ได้ ซึ่งขัดกับที่ทางสภากาชาดอ้างว่าวัคซีนโมเดอร์นาที่จองไว้ไม่ได้ปาดหน้าใครนั้นจะเอาไปใช้ในกิจการสาธารณกุศลสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า กลุ่มผู้ด้อยโอกาส ผู้มีความเสี่ยงที่ไม่สามารถเข้าถึงวัคซีนได้

หรือที่มีภาพแอบถ่ายและข้อมูลแคปหน้าจอว่าหญิงชราชื่อดังที่เป็นตัวตั้งตัวตีในการแจ้งความดำเนินคดีกับประชาชนไม่เว้นแม้แต่เด็กมัธยมต้น ไปนั่งด้านหน้าจุดรอฉีดวัคซีนเข็มที่สาม ซึ่งควรเป็นของบุคลากรทางการแพทย์ หรือแชตหลุดไอจีลับว่ามีคนนามสกุลดังได้รับวัคซีนไฟเซอร์แล้วแบบอุบเงียบ กับข่าวลือตามลมว่าตอนนี้ในหน่วยงานของรัฐ หรือเอกชนเริ่มมีการสอบถามความต้องการฉีดวัคซีนที่ว่าจากผู้บริหารระดับสูงกันบ้างแล้ว

กระทั่ง ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล อย่างเอ๋ ปารีณา ไกรคุปต์ ยังออกมาตีกันผ่านสื่อโซเชียลของเธอ เรียกร้องจิตสำนึก “หน่วยงานอื่น” ให้สละการขอรับไฟเซอร์ให้บุคลากรการแพทย์ก่อน ยิ่งทำให้เสียงลือ ต่างๆ ข้างต้นมีเค้ามูลขึ้นมาอีกบ้าง ตามด้วยข่าวสดๆ ร้อนๆ ที่มีผู้สื่อข่าวพบว่ายอดวัคซีนที่สหรัฐบริจาคมา แต่กับยอดที่ สบค.แจ้งแถลงข่าวนั้นกลับลดหายไปถึง 40,000 โดส ก็ยังไม่มีใครยอมรับสายตอบไลน์

ทั้งหมดนี้จะแปลกใจอะไร ถ้าประชาชนจะไม่ไว้วางใจว่า วัคซีนไฟเซอร์ที่ได้รับบริจาคมาจะถูกกระจายให้บุคลากรทางการแพทย์สมความตั้งใจของผู้ให้และเจตจำนงของประชาชน หรือวัคซีนทางเลือกของประชาชนที่จ่ายเงินซื้อเองจะไม่ถูกใครปาดหน้าไปโดยมิชอบ

เช่นเดียวกับความไม่เชื่อมั่นในวัคซีนที่รัฐบาลบังคับเลือกให้เป็นวัคซีนหลักสำหรับคนไทยและบุคลากรทางการแพทย์ โดยเฉพาะตัวที่มีปัญหา ซึ่งทั้งผลการวิจัยทั้งระดับโลกและของไทยเองว่าวัคซีนดังกล่าวแทบไม่มีความสามารถด้านการป้องกันไวรัสสายพันธุ์หลักในปัจจุบัน กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ช้าและต่ำ แถมภูมิคุ้มกันที่ได้มายังลดลงเรื่อยๆ ในเวลาไม่กี่วัน สวนทางกับที่มี “ผู้เชี่ยวชาญ” ของรัฐที่มีคำนำหน้าวิชาชีพแพทย์พยายามพิสูจน์คุณงามความดีของวัคซีนนี้อย่างค้านสายตา ที่ตอนหลังชาวบ้านล้อกันเพลียเสียจนขำ เหมือนเห็นอาเฮียเชียร์วัคซีนให้เอาไปผสมสูตรค็อกเทลกับอะไรก็อร่อยไปหมด

สำหรับความกังวลว่าวัคซีนไฟเซอร์จะถูกกระจายไปให้บุคลากรทางการแพทย์อย่างยุติธรรมสมเหตุสมผลหรือไม่ หนทางที่จะสามารถแก้ไขได้อย่างยั่งยืน คือ การเรียกร้องให้วางระบบการติดตามวัคซีน (Vaccine tracker) เพื่อตรวจสอบติดตามให้ได้ว่าวัคซีนนี้ไปถึงไหนถึงใครแล้วบ้างทุกโดสทุกหลอด ว่าถูกฉีดให้ผู้มีสิทธิหรือไม่ที่ไหนเมื่อไรด้วยเกณฑ์ใด ภายใต้การรักษาข้อมูลส่วนบุคคลตามมาตรฐานของกฎหมาย

นี่คือสิ่งที่ประชาชนควรเรียกร้องให้เสียงดัง และทางฝ่ายรัฐเองก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่ทำ จะอ้างว่าไม่มีกำลังคน หรือเทคโนโลยี ก็เชื่อว่าในตอนนี้คงมีอาสาสมัครพร้อมจัดทำ หรือจะอ้างว่าเกรงจะล่าช้าเสียเวลา ก็ในเมื่อมีเวลาเอาวัคซีนไปเก็บไปแช่ไว้รอทำพิธีรับมอบตัดริบบิ้นได้ ก็คงจะพอมีเวลาวางระบบติดตามวัคซีนได้

มิเช่นนั้นก็คงจะต้องใช้กระบวนการ “ด่า” ในการติดตามไม่ให้พวกพยาธิปรสิตมายอกยักลักวัคซีนกัน
ต่อไป ซึ่งเราก็คงมีแรงด่ากันอยู่

เพราะดังที่ได้กล่าวไว้แล้วว่า วัคซีนที่เชื่อถือได้คือทางรอดเดียวจากยมทูตไร้ร่างที่สามารถจับมือใครพาไปสู่ห้วงมรณะได้ การ “โกงวัคซีน” ไม่ว่าจะเป็นไฟเซอร์ หรือโมเดอร์นาไปโดยมิชอบ จึงไม่ต่างจากการ “โกงความตาย” ที่กระทำต่อบุคลากรทางการแพทย์และประชาชนทั่วไป

การต่อต้านจึงจะมีอยู่ในรูปแบบที่คาดไม่ถึง ไม่รู้จัก และรับมือไม่ได้ แม้แต่กับผู้ใช้อำนาจรัฐที่มีอำนาจเผด็จการเบ็ดเสร็จ หรืออำนาจราชการที่เคยสั่งการอย่างไรได้อย่างนั้นมาเสมอตามสายบังคับบัญชา

เพราะนี่คือความตายจริง ตายแท้ ถึงแก่มรณาตามตัวอักษร ไม่ใช่เพียงแค่ถูกลดตำแหน่ง สูญเสียความก้าวหน้า หรือแม้แต่การดำเนินคดี ซึ่งล้วนเป็นความตายเชิงเปรียบเปรย

ดังนั้นจึงไม่มีทางรู้หรอกว่า พวกเขาจะเจอ “หนอน” อยู่ที่ไหนบ้าง

หนอนนั้นอาจจะเป็นได้ แม้แต่คนที่น่าจะได้รับผลประโยชน์จากการยักลักวัคซีนทางเลือกนั้นมาโดยไม่ชอบ แต่มีมโนธรรมพอที่จะปฏิเสธและนำเรื่องดังกล่าวออกสู่ที่แจ้ง หรือคนที่ต้องทำตามคำสั่งโดยที่ตนก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรไปด้วย แม้แต่คนที่ควรจะได้รับวัคซีนนั้นอยู่แล้วไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ก็ถูกฉกชิงไปอย่างหน้าด้านๆ

ทั้งหมดทั้งมวลจะทำให้การใช้อำนาจลวงพรางปิดลับนั้นไม่อาจทำได้อย่างที่คิดและที่เคย

กล้า สมุทวณิช

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image