การสูญเสีย 3 แสนล้านเศรษฐกิจ สายตามองสู่ ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ประหนึ่งว่าบทสรุปจากหอการค้าไทยที่ประเมินผลสะเทือนจากการขยาย ‘ล็อกดาวน์’ ออกไปอีกจนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม จะก่อความเสียหายในทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 3 แสนล้านบาท
จะเป็นการส่งสัญญาณไปยัง ‘ทีมเศรษฐกิจ’ อันประกอบด้วย นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงต้องการส่งตรงไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ว่าในสถานะของผู้อำนวยการ ศบค. ไม่ว่าในสถานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจก็ตาม
บทเรียนอันน่าเจ็บปวดอย่างยิ่งก็คือ มิใช่ว่า นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ มิใช่ว่า นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ จะมิได้เป็นคนหมดความสามารถ
อย่างน้อยคนแรกก็เคยบริหาร ปตท.รัฐวิสาหกิจแสนล้านมาแล้ว ขณะที่คนหลังก็เคยกุมทิศทางอยู่ที่สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
แล้วเหตุใดจึงไม่สามารถสร้าง ‘ความหวัง’ ให้บังเกิดขึ้นได้
นั่นเป็นเพราะว่าเคยมีบทเรียนมาแล้วในกรณี ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล และในกรณี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
ถามว่าทั้ง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ถือได้ว่าเป็นคนดี เปี่ยมด้วยฝีมือและความสามารถอันเป็นที่ประจักษ์มาแล้วหรือไม่
ก็ต้องยอมรับว่า ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เคยเป็น ‘ความหวัง’ ของสังคมไทย
เพราะ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล เคยเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จึงเข้าเป็นรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลหลังรัฐประหาร 2557
แต่แล้ว ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ก็ถูกปลดออกในเดือนสิงหาคม 2558 และนำ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เข้ามาแทนที่
กระนั้น ชะตากรรมคนหลังก็ไม่ต่างไปจากคนแรกคือถูกปลดออก
ไม่ว่า ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ไม่ว่า นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ล้วนถูกปลดออกโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งอยู่ในฐานะนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจตัวจริง
ทำไมศักยภาพของ ‘หม่อมอุ๋ย’ และ ‘สมคิด’ จึงไม่เปล่งประกาย
ทำไมศักยภาพของ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ จึงไม่เปล่งประกายและไม่สร้างความหวัง
ทุกสายตาย่อมมองไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จุดเดียว
