วิษณุ ย้อน ปัญหาในอดีต ผลงานรัฐบาลทำบ้านเมืองสงบสุข ลั่น เดินหน้าออกกฎหมายอีก 100 ฉบับภายใน 1 ปี
วันนี้ (15 กันยายน) นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี แถลงผลงานด้านกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมว่า เมื่อย้อนไป 2 ปีที่แล้ว จะเห็นว่าเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ปกติ ทำเนียบรัฐบาลไม่สามารถใช้เป็นที่ทำงานได้ ถือเป็นครั้งแรกที่มีการเชิญตราพระปรมาภิไธยออกจากทำเนียบ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมากก่อน และหลังจากที่คณะรัฐประหารเข้ามาเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 นับจากนั้น 3 วัน จึงได้อันเชิญกลับเข้ามาทำเนียบ ก่อนหน้านั้น ทั้งสื่อมวลชน นักท่องเที่ยว นักวิชาการ ต่างมองว่าประเทศกำลังจะเป็นรัฐล้มเหลว เหมือนคนที่แข็งแรงกำลังทรุด เพราะเกิดเหตุที่ทำให้มองได้เช่นนั้น และเมื่อปัญหามาถึงวันหนึ่งก็มีการเลือกตั้ง แต่นักการเมืองภาคใต้ไม่สามารถไปหาเสียงในภาคอีสานได้ และนักการเมืองภาคอีสานก็ไม่กล้าลงไปภาคใต้ ภาคกลางไม่กล้าไปหาเสียงในภาคเหนือ เพราะมีความขัดแย้ง การเลือกตั้งเป็นโมฆะ ขณะที่การบังคับใช้กฎหมายเป็นเหมือนเศษกระดาษ แม้จะใช้กฎอัยการศึก แต่ไม่มีใครเกรงกลัว กฎหมายไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ ประชาชนเกิดความแตกแยก คนไม่เชื่อถือในอำนาจรัฐ กลไกของประเทศ ทั้ง อำนาจบริหาร ตุลาการ และนิติบัญญัติหยุดชะงัก ส่วนฝ่ายบริหารเกิดปัญหาจนนายกฯต้องหยุดทำหน้าที่ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนได้จากปัญหาเกี่ยวกับข้าว ขณะที่ฝ่ายตุลาการเกิดปัญหาในการไม่ยอมรับอำนาจศาล
นายวิษณุ กล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลต้องทำเมื่อเข้ามาคือการฟื้นฟูให้กลไกที่หยุดชะงักกลับมาทำงานได้ โดยฟื้นฟูกลไกทำงาน 3 อำนาจ คือฝ่ายบริหาร ตุลาการ และนิติบัญญัติ ทำให้กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์และแก้ไขปัญหาตามที่ประชาชนเรียกร้อง เช่น การจัดระเบียบสังคม มอเตอร์ไซค์รับจ้าง รถตู้ สถานบริการ และปัญหาเด็กแว้น ฯลฯ การแก้ไขปัญหานอกจากงบประมาณ คน และผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ก็คือกฎหมาย ซึ่งเป็นที่มาของอำนาจเพื่อผลักดันให้เกิดขึ้น เพราะไม่มีกฎหมายก็ทำงานไม่ได้ ที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2551-2557 เป็นเวลา 7 ปี ออกกฎหมายได้เพียง 120 ฉบับ เฉลี่ยปีละ 17 ฉบับ แต่ 2 ปีของรัฐบาลนี้ สามารถออก พ.ร.บ.ไปแล้วทั้งหมด 187 ฉบับ อยู่ในการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) 27 ฉบับ และภายใน 1 ปีนับจากนี้จะออกกฎหมายให้ได้อีก 100 ฉบับ ทั้งนี้ที่ผ่านมามีคำสั่งหัวหน้า คสช.ในมาตรา 44 ในการแก้ไขปัญหาไปแล้ว 104 เรื่อง และเมื่อ คสช.เข้ามาก็มีปลัดกว่า 20 กระทรวง เข้ามาเพื่อขอให้ คสช.ออกกฎหมายกว่า 300 ฉบับ เพราะที่ผ่านมามีปัญหาสารพัดจึงออกกฎหมายไม่ได้
“ดังนั้น นายกฯจึงเร่งออกกฎหมาย ที่ต้องเร่งเนื่องจากมีการลงนามกับต่างประเทศ หากกฎหมายใดสามารถใช้ดำเนินการได้ ก็ให้ใช้กฎหมายเดิมมาปรับปรุงเพื่อบังคับใช้ กฎหมายสำคัญที่ออกไปแล้ว เช่น กฎหมายประกันชีวิต กฎหมายทวงหนี้ กฎหมายอุ้มบุญ และที่เป็นชิ้นโบแดงคือกฎหมายการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ฯลฯ และช่วงเวลา 1 ปีเศษนับจากนี้ จะขับเคลื่อนกฎหมายที่ประชาชนและส่วนราชการต้องการ เช่น กฎหมายวิธีการงบประมาณ เขตเศรษฐกิจพิเศษ กฎหมายสรรพสามิต ศุลกากร กฎหมายว่าด้วยการขัดกันแห่งผลประโยชน์ส่วนรวมกับประโยชน์ส่วนตัว หรือที่เรียกว่า กฎหมาย 7 ชั่วโคตร โดยจะต้องมีการกำหนดกรอบเวลาแล้วเสร็จ นอกจากนั้น จะต้องขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศ 7 ด้าน ทั้งการเมือง กฎหมาย กระบวนการยุติธรรม ระบบราชการ การศึกษา เศรษฐกิจ และอื่นๆ สิ่งเหล่านี้รัฐบาลทำเพื่อส่งต่อให้รัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง ให้เป็นเครื่องมือในการทำงานต่อไป
