ที่มา | มติชนรายวัน 06 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่12 |
---|---|
ผู้เขียน | จำลอง ดอกปิก |
ในขณะที่ กกต.มีแนวคิดจัดระเบียบ การจัดทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ออกหลักเกณฑ์ วิธีการควบคุม
กำหนดให้ ผู้สนับสนุน และคัดค้านไม่เห็นด้วย ต้องลงทะเบียน เพื่อแสดงความคิดเห็นต่อรัฐธรรมนูญ อ้างว่าเพื่อความเท่าเทียม
นักวิชาการเรียกร้องรัฐ เปิดให้มีการรณรงค์ได้อย่างเสรี ปราศจากเงื่อนไขควบคุมใด
เว้นแต่ ข้อห้ามอย่างการขัดขวาง ข่มขู่ หรือกระทำการใดๆ ที่เป็นหลักยึดทั่วไปว่า
จะกระทำมิได้ มีบทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืน
การรณรงค์เสรีเป็นแบบแผนทั่วไป มีเจตนารมณ์ มุ่งให้ประชาชนผู้มีส่วนได้
ส่วนเสียโดยตรง ในฐานะเจ้าของอำนาจอธิปไตยแท้จริง ได้รับรู้ข้อมูลทุกแง่มุม
ทั้งข้อดี-ข้อเสียมากที่สุด เท่าที่จะทำได้ เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาตัดสินใจ ออกเสียงว่า จะรับ หรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ
การเปิดให้มีการรณรงค์อย่างเสรี เป็นตัวชี้วัด คุณภาพของการทำประชามติอีกทาง เนื่องจากประชาชนได้ตัดสินใจอย่างรอบคอบ บนพื้นฐานการมีข้อมูลทุกด้าน
มิใช่การโหวต โดยขาดการใคร่ครวญ ตัดสินใจจากการถูกชี้นำ ยัดเยียดข้อมูลด้านเดียว-ด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งวัดผลได้แต่คะแนน ขาดคุณค่าความสมบูรณ์อย่างที่พึงจะเป็น
ทั้งที่เป็นเรื่องใหญ่คอขาดบาดตาย
ดังนั้น เมื่อจะทำประชามติ จำเป็นยิ่งที่รัฐต้องเปิดกว้าง ให้รณรงค์ได้อย่างเสรี ทั้งฝ่ายเห็นด้วย และคัดค้าน ผลที่ออกมาจึงจะได้รับการยอมรับอย่างเป็นการทั่วไป ไม่มีใครติดใจ ตั้งคำถามอีกต่อไป
การปิดกั้น ควบคุมเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ขัดต่อหลักการ
รังแต่จะทำให้ประชาชนเบื่อหน่าย เอือมระอา ไม่อยากออกมาใช้สิทธิ เพราะอาจมอง
ไม่เห็นว่า การรับ หรือไม่รับนั้น จะส่งผลต่อบ้านเมืองมาก-น้อยเพียงใด
ตรงกันข้าม การเปิดกว้างมากกว่า ช่วยปลุกทุกฝ่ายตื่นตัว กระตือรือร้นอยากออกมาใช้สิทธิ เมื่อเล็งเห็นข้อดี-ข้อเสีย ความสำคัญที่ต้องออกมามีส่วนร่วม กำหนดอนาคตประเทศ
และเมื่อมีผู้ออกมาใช้สิทธิมาก ไม่ว่าผลปรากฏทางใด
ผลประชามตินั้น ย่อมเป็นข้อยุติที่สมบูรณ์
เพราะเป็นการยอมรับ หรือไม่ยอมรับของประชาชนทั่วทั้งประเทศ ที่ทุกฝ่ายต้องให้การยอมรับ
นายกรัฐมนตรี เรียกร้อง ทุกผู้นามออกมาใช้สิทธิออกเสียงประชามติ กรรมการร่างรัฐธรรมนูญมั่นใจว่า หากมีผู้มาลงคะแนนออกเสียงทะลุ 80% ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้
ผ่านการเห็นชอบแน่นอน
การเปิดพื้นที่ ให้มีการรณรงค์เสรี นอกจากผลดีประการหลักที่กล่าวข้างต้น
ยังเป็นวิธีการ ที่มีผลพลอยได้ในการจูงใจประชาชนออกมาใช้สิทธิที่ได้ผลมากกว่า การรณรงค์รูปแบบดั้งเดิมอื่น อย่างที่ กกต.-หน่วยงานรัฐเคยยึดปฏิบัติ
ที่พิสูจน์มาแล้วว่า ล้มเหลว มีตัวเลขจำนวนผู้ออกมาใช้สิทธิค่อนข้างต่ำ เป็นเครื่องยืนยันชัดเจน
กรธ.มั่นใจมากว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นกฎหมายแม่บทการปกครองประเทศสูงสุดที่ดีฉบับหนึ่ง
เมื่อเป็นร่างที่ดี รัฐมีกลไก เครือข่าย เครื่องไม้เครื่องมือเพียบพร้อม เหนือกว่า
ฝ่ายการเมือง ฝ่ายนักวิชาการ อย่างชนิดเทียบกันไม่ได้ หากดีจริงไม่มีเหตุผลอันใดเลย ที่ต้องปิดกั้น กลัวการชำแหละ ชี้ให้เห็นผลดี-ผลเสีย อย่างถึงพริกถึงขิง
มีแต่ต้องสนับสนุนเท่านั้น
เพราะยิ่งลงลึกในเนื้อหาเท่าใด ก็ยิ่งเปิดโอกาส รัฐ-กรธ.ได้ชี้แจง ทำความเข้าใจกับสังคมให้ได้รับรู้ถึง ที่มา-ที่ไปได้มากขึ้น
ดีเสียอีกที่จะได้ตอบคำถามให้กระจ่าง หมดสิ้นสงสัย
การคิดจัดระเบียบ ควบคุมการรณรงค์ออกเสียงประชามติอย่างเข้มงวด ก่อให้เกิดคำถามตามมา ที่ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ดีนั้น ที่แท้ดีจริงหรือไม่ หรือว่าเป็นแค่คำโฆษณาชวนเชื่อ
ดีเฉพาะในมุมมองคนดี-ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อประชาธิปไตย