‘สุพิศาล’ ฉะ ‘ประยุทธ์’ แอบอ้าง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คุมม็อบ-ปกป้องตัวเอง

‘สุพิศาล’ ฉะ ‘ประยุทธ์’ แอบอ้าง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คุมม็อบ-ปกป้องตัวเอง ทำตร. กลายเป็นโจร พิทักษ์ทรราช รับใช้ระบอบปรสิต

ต่อมาเวลา 19.10 น. พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ไร้จิตสำนึกและไร้คุณธรรมจริยธรรม ไร้ความสามารถที่จะเป็นผู้นำประเทศ ชอบกล่าวหาประชาชนว่า ละเมิดกฎหมายแต่ชอบละเมิดกฎหมายเสียเอง เพราะฉีกรัฐธรรมนูญ แล้วยึดอำนาจ ตนขออภิปรายในฐานะผู้แทนราษฎรและตำรวจ เพราะยอมรับไม่ได้ที่พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้องค์กรตำรวจเปลี่ยนจากผู้พิทักษ์สันติราษฎร์กลายเป็นผู้พิทักษ์ทรราช ทำให้ตำรวจกลายเป็นกลไกในการปราบปรามประชาชนเพื่อรับใช้ระบบปรสิต ที่คอยสูบเลือดสูบเนื้อจากเจ้าของประเทศ ฉวยโอกาสการแพร่ระบาด โควิด-19 ด้วยการประกาศพระราชกำหนดฉุกเฉิน ตั้งแต่มีนาคม 2563 ยาวมาจนถึงวันนี้ 16 เดือนแล้ว

พล.ต.ต.สุพิศาล อภิปรายต่อว่า นอกจากนี้พล.อ.ประยุทธ์ ยังเคยยกระดับการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินปกติ ตามอำนาจที่ได้ในมาตรา 5 ให้เป็นสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง เพื่อให้ตัวเองมีอำนาจมากขึ้น พระราชกำหนดฉุกเฉิน ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหาวิกฤตโรคระบาด แต่ถูกออกแบบมาเพื่อให้ใช้ในการในสถานการณ์จังหวัดใช้แดนภาคใต้ตั้งแต่ปี 2548 โดยตั้งแต่มีการบังคับใช้ก็ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์มาโดยตลอดว่า กฎหมายฉบับนี้เปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง และยิ่งสร้างความขัดแย้งมากขึ้นไม่จบสิ้น พล.อ.ประยุทธ์ นำพระราชกำหนดฉุกเฉินมาใช้โดยอ้างเรื่อง โควิด-19 มาเป็นเครื่องมือทางการเมืองในการปราบปรามประชาชน แต่วันนี้พิสูจน์แล้วว่าพล.อ.ประยุทธ์ ล้มเหลวทุกด้านในการใช้พระราชกำหนดฉุกเฉินในการแก้ปัญหาวิกฤตของชาติ เพราะนำมาใช้ควบคุมสื่อและประชาชนที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล และใช้เป็นเครื่องมือปราบการชุมนุมที่ออกมาขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ ในประเด็นความเดือดร้อน ตนทราบว่าพล.อ.ประยุทธ์ จงใจใช้พระราชกำหนดฉุกเฉิน เป็นเกาะกำบังเพื่อที่พวกท่านจะไม่ต้องรับผิดชอบเหมือนที่เคยล้อมปราบประชาชนเมื่อปี 2553 เป็นการใช้อำนาจโดยไม่สุจริตและใช้อำนาจรุนแรงเกินสมควรแก่เหตุ ซึ่งพระราชกำหนดฉุกเฉินไม่สามารถคุ้มครองพล.อ.ประยุทธ์ได้ และพล.อ.ประยุทธ์ชอบใช้อำนาจเหมือนประชาชนเป็นพลทหาร

พล.ต.ต.สุพิศาล อภิปรายต่อว่า ตั้งแต่ตนเป็นตำรวจจนเกษียณอายุมา ไม่เคยเห็นภาพที่ประชาชนโกรธแค้นตำรวจอย่างกว้างขวาง พ่อค้าแม่ค้ายังไม่ขายของให้ตำรวจให้ และไม่เผาศพให้ตำรวจ ซึ่งเป็นผลมาจากที่พล.อ.ประยุทธ์ เข้ามากำกับตำรวจ ให้ออกมาปราบปรามประชาชนอย่างรุนแรง เพียงเพื่อรักษาอำนาจของตัวเอง การชุมนุมประท้วงเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน และเป็นเรื่องปกติในสังคมประชาธิปไตย หากพล.อ.ประยุทธ์ มองเห็นประชาชนเป็นอริราชศัตรูก็จะทำให้ประชาชนโกรธแค้นจนเกิดแรงสะท้อนที่รุนแรงกลับมาได้ การควบคุมการชุมนุมไม่เป็นไปตามหลักสากล และรุนแรงเกินกว่าเหตุ ยิงกระสุนยางเป็นห่าฝน ทำให้ผู้ชุมนุมบาดเจ็บจำนวนมาก ยกตัวอย่างนายธนัตถ์ ธนากิจอำนวย หรือ ไฮโซลูกนัท ที่ถูกกระบอกแก๊สน้ำตา จนทำให้ตาขวาบอด

หากไม่เปลี่ยนยุทธวิธี จะส่งผลทำให้ความรุนแรงมากขึ้น หรือนายกฯ ต้องการอยากให้เกิดความรุนแรงจนนำไปเป็นข้ออ้างเพื่อประกาศกฎอัยการศึก เหมือนปี 2557 การบริหารตำรวจของพล.อ.ประยุทธ์ บีบให้ตำรวจออกมาหาลำไพ่พิเศษ เพื่อมีชีวิตดี ทั้งที่ตำรวจต้องออกมาปกป้องประชน แต่ยุคนี้กลับถูกนายทหารนอกแถวที่ชื่อพล.อ.ประยุทธ์ ทำให้ตำรวจกลายเป็นเครื่องมือทำการเมือง ทำลายศักดิ์ศรีของตำรวจปล่อยให้มีตั๋วช้าง ทำลายระบบคุณธรรม ถูกมองเป็นโจรในเครื่องแบบ และเป็นศัตรูของประชาชน ดังนั้นตำรวจไทยต้องมีวิถีตำรวจก้าวไกล เพื่อเปลี่ยนวิถีทางของตำรวจในการปฏิรูปตำรวจ เพราะเหตุนี้ตนจึงไม่สามารถไว้ใจ พล.อ.ประยุทธ์ และไม่สามารถยอมรับนายทหารนอกแถวมาสั่งการและกำกับตำรวจ เปลี่ยนจากผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เป็นผู้พิทักษ์ทรราช เพื่อรับใช้ระบบปรสิตอีกต่อไป

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image