สภานิสิต 7 ม.ดัง แถลงปลุก น.ศ.ทั่วไทย ลงถนน ‘ขับไล่ประยุทธ์’

สภานิสิต 7 ม.ดัง แถลงปลุก น.ศ.ทั่วไทย ลงถนน ‘ขับไล่ประยุทธ์’ พ้นตำแหน่ง

เมื่อเวลาประมาณ 12.30 น. วันที่ 1 กันยายน ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนินกลาง กรุงเทพฯ สภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นำโดย น.ส.เบญจา อะปัญ อ่านแถลงการณ์ จาก ผู้แทนนิสิตและนักศึกษาทั้ง 7 แห่ง ประกอบด้วย สภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, สภานิสิตมหาวิทยาลัยนเรศวร, สภานักศึกษามหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์, สภานักศึกษา องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี, สภานักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น, สภาผู้แทนนิสิตองค์การนิสิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ องค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เรียกร้องให้นิสิต นักศึกษาทั่วประเทศออกมาขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีใจความว่า

การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เข้ายึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ 2557 ประเทศไทยภายใต้การบริหารของประยุทธ์ ในฐานะรัฐบาลจากการยึดอำนาจ และผู้สืบทอดอำนาจจากการร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งพบแต่ความฉิบหาย ทั้งมิติของสังคม เศรษฐกิจ รวมไปถึงสิ่งแวดล้อม

ประการแรก รัฐบาลเผด็จการแต่งตั้งพวกพ้องซึ่งไร้ศักยภาพและความรู้ในการดูแลประชาชน มาดำรงตำแหน่งที่สำคัญต่อการขับเคลื่อนประเทศ การกระทำนี้ ถือเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่ตนและพวกพ้อง โดยมิได้แยแสชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนแม้แต่น้อย ดังที่ปรากฏให้เห็นอย่างประจักษ์ชัด อาทิ การจัดหาวัคซีน ซึ่งเอื้อผลประโยชน์ทางการเมือง ทำให้การจัดหาวัคซีนเป็นไปอย่างล่าช้า มากกว่านั้น รัฐบาลยังนำเข้าวัคซีนราคาสูง แต่คุณภาพต่ำให้กับประชาชน ทั้งยังไม่ได้มีการวางแผนจัดหาวัคซีนคุณภาพสูงให้กับประชาชน จนทำให้เกิดความสูญเสียเป็นจำนวนมาก เศรษฐกิจไทยมีแต่ถอยหลัง เกษตรกร ธุรกิจ ภาคครัวเรือน ไปจนถึงผู้ประกอบการรายย่อยได้รับผลกระทบ ทำให้ต้องปิดกิจการ อัตราการว่างงานสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มีเพียงกลุ่มทุนใหญ่ที่ใกล้ชิดกับรัฐบาลเพียงเท่านั้นที่ได้รับผลประโยชน์

Advertisement

ประการต่อมา รัฐบาลเผด็จการละเมิด และไม่ได้เคารพต่อสิทธิมนุษยชน อาทิ การเข้ายึดพื้นที่จากโครงการทวงคืนผืนป่า โดยสนใจเพียงแค่ตัวเลข ไม่ได้สนใจมิติสังคม และวิถีชีวิตของชาวบ้าน และยังมีการดำเนินการทางกฎหมายว่าด้วยการใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 อีกทั้งยังมีการสลายชุมนุมอย่างโหดเหี้ยม ป่าเถื่อน ขัดต่อหลักสากลจนทำให้มีผู้สูญเสียอวัยวะ โดยอ้างว่าเป็นการสลายการชุมนุมตามหลักสากล

ประการสุดท้าย รัฐบาลเผด็จการ มิได้แก้ปัญหาใดใดเลย แม้แต่ “โครงการคลองโอ่งอ่าง” ซึ่งแท้จริงไม่ใช่โครงการของตน หากแต่เป็นส่วนของการปกครองส่วนกรุงเทพ เผด็จการกับอ้างผลงานอันไร้ประโยชน์เพื่อเชิดหน้าชูตาแก่ตน โดยเหตุผลมิใช่เพราะไร้สติปัญญา แต่ปัจจัยสำคัญคือรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นรัฐบาลอันมิชอบทำจากการรัฐประหารสืบทอดอำนาจ ผ่านการร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งร่างภายใต้การประกาศใช้มาตรา 44 อีกทั้งยังพบว่าการเลือกตั้งปัจจุบัน พบข้อครหามากมายในเรื่องความโปร่งใส เช่น เรื่องบัตรเขย่ง

ปัจจัยดังกล่าว ทำให้เห็นได้ชัดว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มิได้มีการบริหารประเทศที่ยึดโยงกับประชาชน ผลงานของพวกเขามีเพียงแต่การปกป้องผลประโยชน์ของชนชั้นนำ ดังนั้น นักศึกษามหาวิทยาลัย จึงขอยืนหยัดเคียงข้างประชาชน ข้อเสนอเรียกร้อง ถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เปิดทางให้มีรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งต้องเป็นรัฐบาลที่ได้มาตามวิถีประชาธิปไตย ไม่ใช่การรัฐประหาร หรือการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคโควิด-19 แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ให้มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และปฏิรูปทางการเมือง ให้ประเทศไทยก้าวหน้าขึ้นตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย

Advertisement

ในการนี้ นักศึกษามหาวิทยาลัยขอร่วมต่อสู้และเป็นกำลังใจให้กับประชาชนในสถานการณ์ที่บ้านเมืองพบแต่ความวิกฤต ผู้นำไม่ได้มีสติปัญญาแก้ไขปัญหา ขอยืนเคียงข้างนักต่อสู้ที่ลุกขึ้นมาเรียกร้องเพื่อสิทธิเสรีภาพ และประชาธิปไตย ขอสดุดีการต่อสู้ของประชาชน ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของประเทศ อย่างแท้จริง

ศักดาจงพินาศ ประชาราษฎร์จงเจริญ
ผู้แทนนิสิตนักศึกษาทั้ง 7 แห่ง

น.ส.เบญจากล่าวว่า เราคาดหวังว่าจะเกิดการรวมกันของเครือข่ายสภานักศึกษา ของแต่ละมหาวิทยาลัยร่วมมือกันขับเคลื่อนขบวนการประชาธิปไตย ไม่เพียงขับเคลื่อนในมหาวิทยาลัย แต่ให้ร่วมขับเคลื่อนขบวนการประชาธิปไตยนอกมหาวิทยาลัยด้วย

“แถลงการณ์นี้เพื่อแสดงให้เห็นว่า สภานักศึกษาเอง ไม่ได้มีหน้าที่แค่อยู่ในสภานักศึกษา ความที่เราเป็นผู้แทน จึงจำเป็นที่ต้องออกมาเคลื่อนไหวข้างนอกด้วย” น.ส.เบญจากล่าว

ด้าน “บิ๊ก” จากสภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า จากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ 2 วันที่ผ่านมา ส.ส.รัฐบาลตอบไม่ตรงคำถาม ไม่ชี้แจงข้อมูล หลายครั้งที่ พล.อ.ประยุทธ์มีท่าทีแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่มีความสามารถที่จะบริหารแล้ว อย่างล่าสุด มีข้อมูลการจัดซื้อซิโนแวคที่มีเงินทอน ซึ่งที่สังเกตได้ คือจากสัญญาการซื้อ ซึ่งไทยซื้อแพงกว่าประเทศอินโดนีเซีย จึงไม่สามารถปล่อยให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ บริหารได้อีกต่อไป

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image