‘ก้าวไกล’ จวก ยกเลิกตั๋วเที่ยว ประชาชนสาหัส รัฐบาลไร้น้ำยา ทำได้แค่ ‘ขอร้อง’
เมื่อวันที่ 13 กันยายน สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล รองประธานกมธ.คมนาคมฯ สภาผู้แทนราษฎร เขียนข้อความแสดงความเห็นกรณีการบกเลิกตั๋วเที่ยว ระบุว่า ทำให้ประชาชนเดือนร้อนหนัก แต่รัฐบาลทำได้แค่ขอร้อง โดย ระบุว่า
ยกเลิกตั๋วเที่ยว ประชาชนสาหัส รัฐบาลทำได้แค่ “ขอร้อง” จากดราม่า “ปัญหาค่ารถไฟฟ้าแพง” ต่อด้วยการ “ยกเลิกตั๋วเที่ยว” ทำให้ประชาชนเดือดร้อนหนักจากการขาดส่วนลด (ซึ่งดันเป็นสิทธิ์ของเอกชนตามสัญญากับรัฐว่าจะให้ส่วนลดหรือไม่ก็ได้) เช่น จากอ่อนนุชไปศาลาแดง เดิมคนทำงานจะซื้อตั๋วแบบ 40 เที่ยว 1,080 บาท (ตกเที่ยวละ 27 บาท) กลายเป็นต้องจ่ายเที่ยวละ 44 บาท แพงขึ้นทันที 63% หรือเดือนละ 680 บาท รัฐบาลโดย (1) กรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลระบบราง และโดย (2) กทม. ในฐานะหน่วยงานเจ้าของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว (หรือที่เรียกติดปากกันว่ารถไฟฟ้า BTS) ได้แต่ขอร้องไม่ให้เอกชนยกเลิกส่วนลด
ย้ำ! รัฐบาลไร้น้ำยา ทำได้แค่ “ขอร้อง”
ปัญหาคือรัฐบาลไทย (รัฐบาลอื่นทั่วโลกไม่ค่อยทำกันแบบนี้) ใช้วิธีเจรจาเป็นสาย ๆ แบ่งเค้กเป็นราย ๆ แบบไร้มาตรฐาน บางสายอุดหนุนมาก บางสายอุดหนุนน้อย แล้วแต่การเจรจา แล้วผูกพันด้วยสัญญาระยะยาว (โดยทั่วไปคือ 30 ปี) คิดค่าโดยสารเป็นเส้น ๆ “ไม่ได้เอาประชาชนเป็นตัวตั้ง” ทำให้เกิดค่าแรกเข้าซ้ำซ้อน (เปลี่ยนสายต้องจ่ายค่าแรกเข้าใหม่) และค่าระยะทางแบบนับใหม่ (ทำให้แพงทบต้นขึ้นไปอีก) หากเอาประชาชนเป็นตัวตั้งต้องกำหนด “ค่าโดยสารร่วม” เช่น ค่าโดยสารของการใช้ 5 สถานีในสาย A ควรเท่ากับ 3 สถานีในสาย A แล้วต่ออีก 2 สถานีในสาย B เป็นต้น
การแก้ไขสัญญาก็ยากมาก ๆ และการที่เอกชนจะยอมแก้คือ เขาต้องได้เปรียบ! เท่านั้นยังไม่พอ พอใกล้จะหมดอายุสัญญาสัมปทาน เอกชนก็มักหาเหตุเพื่อขยายสัญญาสัมปทานออกไป พ่วงด้วยการมุบมิบเจรจาไม่ให้สาธารณชนได้รับรู้เงื่อนไขในการเจรจาและหลีกเลี่ยงการแข่งขันเพื่อป้องกันเจ้าอื่นหรือเจ้าใหม่มาแย่งชิงสิทธิ์ในการผูกขาด ทำให้รัฐเสียประโยชน์จากส่วนแบ่งรายได้หรือประชาชนต้องจ่ายแพงเกินควร
สังคมต้องเข้าใจด้วยว่า “รถไฟฟ้าดีจริงแต่มันแพง!” ค่าก่อสร้างตกกิโลเมตรละ 2-9 พันล้านบาท ต้นทุนหลัก ๆ แบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท ได้แก่ (1) ค่าเวนคืนซึ่งโดยปกติรัฐอุดหนุน 100% (2) ค่างานโยธา ซึ่งแพงสุด/สำคัญสุด และมักมีผลประโยชน์แอบแฝงเยอะ บางสายรัฐไม่ออกให้เลยในขณะที่บางสายรัฐอุดหนุน 100% (3) ค่างานระบบ ซึ่งประกอบด้วยตัวรถไฟฟ้า ระบบไฟฟ้า ระบบอาณัติสัญญาณ ฯลฯ และ (4) ค่าบริหารจัดการและซ่อมบำรุงรายปี การที่รัฐบาลเลือกลงทุนระบบขนส่งสาธารณะในแต่ละเส้นทาง (รถไฟฟ้า LRT BRT รถเมล์ เรือ) จึงสำคัญมาก!
หลักในการเจรจาแบบไทย ๆ โดยมากใช้ PPP Net Cost (รวมถึงรถไฟฟ้า BTS) คือรัฐช่วยอุดหนุนบางส่วนแล้วยกส่วนที่เหลือให้เอกชนลงทุน ซึ่งแน่นอนว่าเอกชนลงทุนก็ต้องหวังผลกำไร โดยเก็บจากค่าโดยสาร (Farebox Revenue) และการหาผลประโยชน์อื่นจากโครงการ (Non-Farebox Revenue) ประเด็นสำคัญในส่วนนี้ (แม้ว่า BTS จะเป็นผู้ลงทุนเองแทบทั้งหมด) คือ: ต้องโปร่งใส! ประชาชนต้องสามารถตรวจสอบได้ว่ารัฐบาลจะไม่ “แอบให้” ผลประโยชน์กับเอกชนมากเกินควร ก่อนเซ็นสัญญาผูกพัน!
สมมติว่าโปร่งใส (เอกชนได้กำไรอย่างเป็นธรรม) สุดท้ายก็ต้องมีคนจ่ายอยู่ดี ซึ่งก็คือประชาชน ไม่ว่าจะ (1) ผู้ใช้เป็นผู้จ่าย ผ่านค่าโดยสาร หรือ (2) ทุกคนมาช่วยกันจ่าย ผ่านเงินภาษีประเภทต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงเงินกู้ซึ่งทุกคนต้องมาร่วมกันใช้หนี้อยู่ดี
ปัญหาตอนนี้คือผู้ใช้รู้สึกว่าแพง ก็ต้องมาถกเถียงกันว่า:
(ก) เอกชนเอากำไรมากเกินไปหรือไม่?
(ข) ต้องการเอาเงินภาษีมาอุดหนุนเพิ่มหรือไม่?
(ค) ที่สร้างกันไปแล้ว จะแก้ปัญหาอย่างไร? และที่กำลังจะสร้างเพิ่ม มีเงินภาษีมากพอจะอุดหนุนหรือไม่?
สำคัญคือต้องสร้างแบบรู้จักคิดมากกว่านี้ ที่ผ่านมา “ขาดการวางแผนอย่างเป็นระบบ”
> ไม่คิด: โครงการใดควรทำก่อน/ทำหลัง
> ไม่สน: ความคุ้มค่าของแต่ละโครงการ
> ไม่เลือก: ระบบใหญ่ (รถไฟฟ้า) vs. ระบบรอง (LRT, BRT, รถเมล์)
> ไม่เหลือ: เงินสำหรับปรับปรุงการเชื่อมต่อ (กว่าจะถึงสถานีรถไฟฟ้า)
ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลจะต้องจริงจังกับการ “แก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง” ด้วยการกำหนด “ค่าโดยสารร่วม”: ค่าโดยสารของการใช้ 5 สถานีในสาย A ควรเท่ากับ 3 สถานีในสาย A แล้วต่ออีก 2 สถานีในสาย B และจะดีขึ้นไปอีกหากคิดถึงการเชื่อมต่อกับระบบขนส่งสาธารณะประเภทอื่น (กว่าจะถึงสถานีรถไฟฟ้า ประชาชนจำนวนมากต้องจ่ายแพงมาก แพงมากกว่าค่ารถไฟฟ้าด้วยซ้ำในหลายกรณี)
หากยังไม่รีบแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง ปัญหาค่ารถไฟฟ้าแพงจะรุนแรงขึ้นอีกเพราะกำลังจะเปิดให้บริการอีกหลายสาย และกำลังจะเซ็นสัญญากับอีกหลายสายด้วย นี่ยังไม่นับรวมอีกหลายปัญหาที่กำลังจะตามมาจากการบริหารจัดการห่วย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหายไปไหน? หรือยังเคลียร์กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยไม่จบในศึกสายสีเขียว vs. สายสีส้ม? หากปล่อยปัญหาคาราคาซังแบบนี้ยิ่งแย่ ประชาชนเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส แต่รัฐบาลทำได้แค่ “ขอร้อง”
จากประสบการณ์บอกเลยว่ารัฐบาลนี้ เก่งแต่ใช้อำนาจคุกคามประชาชน ส่วนกับนายทุนใหญ่นั้น “ขอร้อง” … แล้วก็หงอทุกที