ความมั่นใจต่อกรณี “ฝายแม่ผ่องพรรณฯ” ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
เป็นความมั่นใจที่น่าศึกษา
“เชื่อว่าเรื่องนี้จะไม่บานปลาย และไม่มีผลกระทบต่อกองทัพที่อาจถูกจับตามองไปด้วย”
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ “ฝาย”
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการประมูลได้หลาย “โครงการ” ในความรับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 3
คำว่า “ไม่บานปลาย” นี่แหละ “สำคัญ”
มาตรการ 1 ซึ่งเสมือนเป็น “คำชี้แนะ” โดยตรงต่อ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา
คือ ให้เงียบๆ “อย่าพูดมาก”
เพราะว่าหากสงบนิ่ง ไม่เจื้อยแจ้วจำนรรจา ก็เท่ากับไม่ต่อความยาว สาวความยืด
เรื่องก็ค่อยๆจบ เรื่องก็ค่อยๆเงียบหาย
หากย้อนไปศึกษาเส้นทางจากหลายกรณีที่มากด้วยความอื้อฉาวของกองทัพ
ก็จะประจักษ์ใน “กระบวนท่า”
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างจีที 200 ไม่ว่าจะเงื่อนงำของรถถังจากยูเครน
ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “บอลลูน” ลอยฟ้า
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอุทยานราชภักดิ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องขุดลอกคอคลองขององค์การทหารผ่านศึก
ทุกอย่างล้วน “เรียบโร้ยยย”
เป็นความ “เรียบโร้ยยย” จากท่วงทำนอง “ใช้ความสงบ สยบความเคลื่อนไหว”
รักยาวให้ “บั่น” รักสั้นให้ “ต่อ”
ความเชื่อมั่นของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สอดรับกับความเชื่อมั่นของ “กองเชียร์” อย่างประสานและกลมกลืน
แต่กรณี “ฝายแม่ผ่องพรรณฯ” ค่อนข้างละเอียดอ่อน
ละเอียดอ่อน 1 เป็นการตีกระทบเข้ากับครอบครัว พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา โดยตรง
ละเอียดอ่อน 1 เข้าลักษณะ “หยิกเล็บ เจ็บเนื้อ”
เรียกตามสำนวนของ “นักบิลเลียด” ก็ถือได้ว่าเป็นกระบวน ท่าในแบบ ตีลูก “แคนนอน”
เหมือนจะตบ “ขาว” แต่แท้จริงต้องการ “แดง”
ขณะเดียวกัน ละเอียดอ่อน 1 ซึ่งสำคัญเท่ากับนำไปสู่การเทียบเคียง
เพราะเข้าข่าย “ผลประโยชน์ทับซ้อน”
การเปรียบเทียบนี่แหละจะกลายเป็น “เรื่อง” ทำให้แทนที่จะเป็น “เรื่องสั้น” กลับเป็น “นวนิยาย”
ทั้งยังเป็น “นวนิยาย” ในแบบ “หลายตอน” จบ