‘สหายแสง’ แจงปมครอบครองที่ดินป่าดงพะทาย ยันยื่น ป.ป.ช.ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่โกรธ ‘เสรีพิศุทธ์’ ด้อยค่า เหน็บเป็น ปธ.กมธ.ตรวจสอบทุจริตหลายเรื่อง แต่ไม่มีเรื่องใหญ่โต จวกแม้ไม่จบสถาบันมีชื่อเสียงแต่ก็ภูมิใจ ตนเป็น รมช. แต่ ‘เสรีพิศุทธ์’ ยังเป็นแค่ ผบ.ตร. แนะเอาเวลาไปสอบเรื่องสร้างบ้านบุกรุกแม่น้ำแคว
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 23 กันยายน ที่รัฐสภา นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 แถลงกรณีที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย (สร.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ (ป.ป.ช.) สภาผู้แทนราษฎร นำเรื่องการครอบครองที่ดินป่าดงพะทาย อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม ขึ้นมาตรวจสอบ และแถลงต่อสื่อมวลชน ว่าไม่ได้อยากแถลงตอบโต้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เพราะถือว่าท่านทำหน้าที่ของท่าน แต่เท่าที่ฟังท่านได้นำความจริงแค่บางส่วนมาให้สื่อมวลชนรับทราบ
นายศุภชัยกล่าวว่า การครอบครองที่ดินดงพระทาย ตนเคยถูกพรรคร่วมฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจมาแล้วตั้งแต่ปี 2554 และฝ่ายค้านในขณะนั้นยื่นเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบแล้ว กระทั่งตอนนี้เป็นเวลา 10 ปีแล้ว เรื่องก็ยังอยู่ใน ป.ป.ช. และตนก็ยังอยู่ปกติธรรมดาไม่มีอะไรเกิดขึ้น ที่ดินผืนใหญ่ของ ต.พะทาย คณะกรรมการจัดสรรที่ดินแห่งชาติมีมติจัดสรรให้ชาวนาและคนยากจนในปี 2518 แบ่งเป็นแปลงละ 10 ไร่ สำหรับการประกอบอาชีพและแปลง 1 ไร่ สำหรับเป็นที่อยู่อาศัย โดยให้ราษฎร จ.นครพนม จับฉลากจองเป็นเจ้าของ ซึ่งคณะกรรมการที่จัดสรรที่ดินแห่งชาติย้ำว่าที่ดินป่าดงพะทายเป็นที่รกร้างว่างเปล่า จำนวน 1,492 แปลง เมื่อเป็นที่รกร้างว่างเปล่าประชาชนที่ได้ใบจองก็ดำเนินการเข้าไปอยู่อาศัยและทำประโยชน์ กระทั่งออก น.ส.3 ได้แล้ว 32 แปลง และออกโฉนดได้ 30 แปลง เหลือ 1,430 แปลง ถ้าที่ดินนี้เป็นป่าสงวน หรือป่าทรุดโทรมจะไม่สามารถออกโฉนด หรือ น.ส.3 ได้
นายศุภชัยกล่าวต่อว่า เมื่อปี 2518 ที่มีการจัดสรรที่ดิน ครอบครัวตนยากจน บ้านอยู่ห่างจากที่ดินตรงนี้ 20 กม. พี่ชายของจึงได้ยื่นความจำนงในการจับฉลากขอเป็นเจ้าของที่ดินและได้ใบจอง แต่ปัญหาคือที่ดินตรงนี้รกร้างว่างเปล่า ชาวบ้านจาก 3 ตำบลได้เข้าไปทำประโยชน์ในพื้นที่ก่อนปี 2518 แต่เมื่อคณะกรรมการจัดสรรที่ดินมาจัดสรร ประชาชนในพื้นที่กับประชาชนที่จับฉลากได้ก็มีปัญหากัน และด้วยความทุรกันดารทำให้ไม่สามารถอยู่อาศัยได้ จึงอาจจะขายให้กัน กระทั่งปี 2530 ตนได้รับการแต่งตั้งเป็นครูใหญ่ของโรงเรียนในพื้นที่ ต.พะทาย และเห็นพื้นที่ตรงนี้ 2 หมื่นกว่าไร่ ไม่ได้ทำประโยชน์ แม้ตนเป็นครูแต่ดั้งเดิมเป็นชาวนา เมื่อเห็นที่เหมาะแก่การทำเกษตรจึงไปหารือกับชาวบ้านว่าที่ตรงนี้เป็นอย่างไร เพื่อจะทำให้เกิดประโยชน์ จึงชักชวนพี่น้องปลูกอ้อย จึงขอเช่าสิทธิจากชาวบ้านที่ครอบครองอยู่แล้ว เมื่อเช่าก็ปลูกอ้อยกว่าพันไร่ กระทั่งปี 2532 ชาวบ้านที่เช่าอยู่แล้วก็มาหาเพราะมีปัญหาก็มาขอยืมเงินไป เมื่อไม่มีเงินส่งคืนก็เอาที่ดินให้ราคาไร่ละ 2-3 พัน ตนก็ใช้สิทธิซื้อจากชาวบ้านโดยมีหลักฐานเป็น น.ส.2
“พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์บอกผมไม่รู้กฎหมาย แค่ทำความเข้าใจว่า น.ส.2 ซื้อขายไม่ได้ แต่ที่เอามาเพราะผมซื้อสิทธิการครอบครองแล้วกลัวเกิดปัญหากับคนที่ถือใบจองอยู่ จึงให้ไปเอา น.ส.2 มาให้ผม เพื่อป้องกันปัญหาไม่ให้คนที่มีใบจองมาโวยวายฟ้องร้องว่าผมบุกรุกและทำเป็นบันทึกข้อตกลงเอาไว้ ซึ่งตั้งแต่ปี 2532 ผมก็ทำไร่อ้อย มันสำปะหลัง และยูคาลิปตัสมาตลอด อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี 2530 ผมเป็นครูใหญ่ ไม่มีตำแหน่งทางการเมืองใดๆ กระทั่งปี 2544 จึงสมัคร ส.ส.เป็นครั้งแรก เมื่อได้รับเลือกตั้งในปี 2544 มีการแจ้งบัญชีทรัพย์สินหนี้สิน ผมก็ไม่ได้แจ้ง ป.ป.ช. เพราะในขณะนั้นผมยังสงสัยในสิทธิว่าเป็นของผมหรือไม่
“ต่อมาได้รับเลือกตั้งครั้งที่ 2 ผมได้นำเรื่องนี้หารือกับอธิบดีกรมที่ดินและฝ่ายกฎหมายของกรมที่ดินว่าผมซื้อสิทธิครอบครองมาทำประโยชน์ 200 กว่าไร่ ผมมีสิทธิเป็นเจ้าของหรือไม่ ซึ่งอธิบดีกรมที่ดินเอาหลักฐานมาให้ดูว่าที่ตรงนี้ไม่ใช่ป่าสงวน หรือป่าเสื่อมโทรม ดังนั้น เมื่อชาวบ้านสละสิทธิในการทำประโยชน์ก็กลับไปเป็นที่รกร้าง ถ้าใครครอบครองก็มีสิทธิออกโฉนดเป็นชื่อตัวเองได้ และ ป.ป.ช.บอกว่าต้องแจ้งเพราะนำมาทำประโยชน์ เมื่อเป็นแบบนี้ผมก็แจ้ง ป.ป.ช.ด้วยความบริสุทธิ์ใจ” นายศุภชัยกล่าว
เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ที่มีการหยิบยกประเด็นดังกล่าวมาพูดในช่วงเวลานี้ นายศุภชัยกล่าวว่า ในส่วนลึกไม่ได้รู้สึกกังวลอะไร แต่ยอมรับว่าเวลามีปัญหาอะไรขึ้นมาก็ต้องคิดบ้างเป็นธรรมดา ยิ่ง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ที่ทำหน้าที่เป็นประธาน กมธ.ป.ป.ช.ตรวจสอบมาหลายเรื่อง แต่ที่เห็นปรากฏก็ยังไม่มีเรื่องการทุจริตประพฤติมิชอบที่ใหญ่โต เท่าที่ทราบกว่า 2 ปีที่ผ่านมาก็เห็นผลงานที่ทำหนังสือเรียกนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร พร้อมทั้งรองประธานสภาไปชี้แจงเรื่องประธานวางตัวไม่เป็นกลาง
นายศุภชัยกล่าวว่า และผลงานโดดเด่นก็คือการทะเลาะกับ ส.ส.หลายคน หากถามว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ดูถูกเหยียดหยามตนแล้วรู้สึกโกรธหรือไม่ ซึ่ง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์พยายามด้อยค่าตนด้วยการดูถูกเหยียดหยามมาตลอด แต่หากท่านพูดในที่ประชุมสภา ในฐานะที่ตนนั่งบนบัลลังก์เป็นประธานการประชุม ตนไม่เคยถือโทษโกรธเคืองท่านเพราะคิดว่าท่านอาจทำหน้าที่เกินเลยไปบ้าง ตนในฐานะประธานในที่ประชุมก็ให้อภัยด้วยความจริงใจ ไม่เคยโกรธแม้แต่นิดเดียว แต่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ยังมาแถลงข่าวดูถูกเหยียดหยามตนและดูหมิ่นดูแคลนตน ตนรับไม่ค่อยได้
นายศุภชัยกล่าวต่อว่า หากเปรียบเทียบระหว่างตนกับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ตนอาจจะไม่ได้เรียนจบโรงเรียนตำรวจนายร้อยสามพราน เพราะจบชั้นประถมโรงเรียนบ้านนอก เป็นเด็กบ้านนอกคนจนๆ คนหนึ่ง และจบ ป.ตรีจากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช และ ป.โทมหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยอาจไม่ดังเท่ากับสถาบันที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์เรียนมา แต่ก็ภูมิใจ อีกทั้งครูบาอาจารย์สอนมาดี สอนให้เป็นครู รู้จักเมตตากรุณา รักลูกศิษย์ รักประชาชน และประเทศชาติ
“ดังนั้น ที่ผ่านมาจากการที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ดูถูกเหยียดหยามผมในสภาจึงทนได้ ผมอาจไม่ได้เป็น ผบ.ตร. แต่ผมเป็น ส.ส.ครั้งแรกในปี 2544 จนถึงปัจจุบันเป็น ส.ส.มาแล้ว 4 สมัย ซึ่ง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์เป็น ส.ส.น้องใหม่สมัยแรก จึงให้อภัย แม้ว่าผมจะไม่ได้เป็น ผบ.ตร.แต่ได้รับการโปรดเกล้าฯให้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หนึ่งสมัยเป็นเวลา 2 ปี 3 เดือน ซึ่ง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ก็ยังเป็นอดีต ผบ.ตร.อยู่แบบนั้น และทุกครั้งที่เลือกตั้งใน จ.นครพนม เขตของผมก็ได้รับคะแนนมากที่สุดในจังหวัด” นายศุภชัยกล่าว
นายศุภชัยกล่าวด้วยว่า นี่คือความภาคภูมิใจในความเป็น ส.ส.บ้านนอก และที่สำคัญการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ยังได้รับความไว้วางใจ ส.ส.ในสภาให้ดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานสภา ถือเป็นรองฝ่ายประมุขฝ่ายนิติบัญญัติของประเทศไทย แต่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ก็ยิ่งใหญ่โดยการเป็นประธาน กมธ.ป.ป.ช. และขอให้ใช้เวลาไปตรวจสอบเรื่องใหญ่ๆ ที่มีการทุจริตและการโกงกินกันมากมาย เช่น การจัดซื้อรถจักรยานยนต์ยี่ห้อหนึ่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) วงเงินเกือบหมื่นล้านบาท มีการทุจริตอย่างมโหฬาร ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดกลับจับได้เฉพาะตัวเล็กๆ ส่วนตัวใหญ่ๆ ลอยนวลหมด
“ทำไม กมธ.ป.ป.ช.ไม่ไปตรวจสอบเรื่องนี้และนำผลคดีว่าใครเป็นหัวโจกจริงๆ มาแถลงให้ประชาชนได้รับทราบ รวมถึงกรณีที่มีคนสร้างบ้านบุกรุกแม่น้ำแควน้อย จ.กาญจนบุรี โดยอธิบดีกรมเจ้าท่าได้ชี้ว่ามีความผิด สั่งให้รื้อ แต่ผู้บุกรุกยังดื้อรั้นไม่ยอมรื้อ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์น่าจะนำ กมธ.ป.ป.ช.ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้ด้วย เพื่อนำมาแถลงให้ประชาชนได้ทราบบ้าง
“ฝากถึง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ว่าความเป็นวีรบุรุษมันจะต้องควบคู่กับหัวใจและจิตใจเป็นสุภาพบุรุษ ถ้าวีรบุรุษไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ ชอบดูถูกเหยียดหยามคนอื่นร่ำไป คุณค่าของวีรบุรุษจะเหลืออะไรอยู่บ้าง” นายศุภชัยกล่าว