09.00 INDEX ลาออก ยุบสภา รัฐประหาร 3 หนทางเลือกของ ประยุทธ์
สภาวะปั่นป่วน ขัดแย้ง แตกแยก อันปะทุขึ้นระหว่างรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐนับแต่เริ่มญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจเป็นต้นมาหากเป็นใน “อดีต” ต้องจบที่ “รัฐประหาร”
ไม่ว่าจะเป็นอดีตในรัฐบาล พล.อ.ถนอม กิตติขจร ไม่ว่าจะเป็นอดีตในรัฐบาล จอมพลถนอม กิตติขจร
นั่นก็คือ รัฐบาล พล.อ.ถนอม กิตติขจร ภายหลังการเลือกตั้งเมื่อเดือนธันวาคม 2500 เมื่อเกิดความขัดแย้งแตกแยกภายในพรรคชาติสังคมอันเป็นพรรครัฐบาล
ในที่สุด จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็ตัดสินใจทำรัฐประหารในเดือนตุลาคม 2501 โดยความเห็นชอบของ พล.อ.ถนอม กิตติขจร
นั่นก็คือ รัฐบาล จอมพลถนอม กิตติขจร ภายหลังการเลือกตั้ง เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2512 เมื่อเกิดความขัดแย้งแตกแยกภายใน พรรคสหประชาไทยอันเป็นพรรครัฐบาล
จอมพลถนอม กิตติขจร ที่เป็นผบ.ทหารสูงสุดก็ตัดสินใจรัฐประหารต่อรัฐบาลที่มี จอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรีในเดือนพฤศจิกายน 2514
สภาพการณ์นับแต่การตัดสินใจ “ปลด” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ให้พ้นจากการเป็นรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 กันยา ยน คือการปะทุขึ้นของความขัดแย้ง แตกแยก
เป็นความขัดแย้ง แตกแยกขณะที่เผชิญกับภัยของโรคระบาดและซ้ำเติมด้วยอุทกภัยซึ่งทวีความรุนแรง กว้างขวางเป็นลำดับ
ขณะที่รัฐบาลไม่เพียงแต่จะต้องเสนอพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่ม เติมพระราชบัญญัติโรคติดต่อ หากมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่จะต้องเสนอพระราชกำหนดเงินกู้อีกไม่ต่ำกว่า 1.1 ล้านล้านบาท
เป็นการเสนอโดยรัฐบาลท่ามกลางความขัดแย้ง แตกแยกภาย ในพรรคพลังประชารัฐอันเป็นพรรคแกนนำรัฐบาล
นี่ย่อมเป็นสถานการณ์ล่อแหลมอย่างยิ่งต่อรัฐบาล
หนทางออกของรัฐบาลหากศึกษาจากสถานการณ์ในอดีตไม่ว่าเมื่อหลังเลือกตั้งเดือนธันวาคม 2500 ไม่ว่าหลังเลือกตั้งเดือนกุมภาพันธ์ 2512 มีหนทางเลือก 2 หนทางเท่านั้น
1 หนทางลาออก ยุบสภา 1 หนทางรัฐประหาร
2 หนทางแรกอาจถือได้ว่าเป็นไปตาม “รัฐธรรมนูญ” เป็นไปตามกฎกติกาอันอยู่บนพื้นฐานแห่งระบอบประชาธิปไตย
ขณะที่หนทาง “รัฐประหาร” เด่นชัดยิ่งว่า “อันตราย” อย่างยิ่ง