‘บิ๊กตู่’ กำชับเตรียมแผนรับมือน้ำ ลั่นจะอยู่ทำงานตรงนี้ ขากลับมีวุ่น เปลี่ยนจุดขึ้นเรือ หลังม็อบรอรับท่าน้ำนนท์ (มีคลิป)

‘บิ๊กตู่’ มั่นใจน้ำไม่ท่วมสูงเท่าปี 54 กำชับเตรียมแผนรับมือพร้อมมาตรการเยียวยา รับห่วงภาคกลาง-พื้นที่นอกคันกั้นน้ำ ลั่น ‘ผมจะอยู่เพื่อทำงานตรงนี้’ ขออย่าทำอะไรที่ไม่เกิดประโยชน์ วอนสภาเร่งผ่านกฎหมายใหม่-กฎหมายไม่ทันสมัย หวังแก้ปัญหาประเทศได้เร็ว ย้ำฝ่ายบริหาร-นิติบัญญัติต้องทำงานด้วยกัน ขบวนกระเจิงน้ำบานเปลี่ยนจุดขึ้นเรือ หลังม็อบนนท์ฮือไล่-ด่ายับ

เมื่อเวลา 14.15 น. วันที่ 30 กันยายน ที่เทศบาลนครปากเกร็ด จ.นนทบุรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขึ้นเรือตรวจการณ์ เพื่อตรวจติดตามสถานการณ์น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมรับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์น้ำและการก่อสร้างแนวกำแพงป้องกันน้ำท่วม

โดยนายกฯได้สอบถามการเตรียมแผนรับน้ำท่วมหากมีฝน หรือพายุเข้ามา พร้อมกำชับต้องทำให้ประชาชนรับรู้รับทราบว่าแต่ละจังหวัด หรือแต่ละพื้นที่ได้รับผลกระทบตรงไหน น้ำมาจากไหน ใครจะเดือดร้อนและได้รับผลกระทบบ้าง พร้อมกำชับมาตรการเฉพาะ และเตรียมมาตรการเยียวยาตามระดับพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ เพื่อให้ประชาชนได้เตรียมตัว เพราะส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยได้เตรียมตัว ซึ่งจะโทษไม่ได้ จึงต้องไปพูดบ่อยๆ ให้ประชาชนได้เข้าใจ

Advertisement

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวด้วยว่า ต้องเตรียมแผนในพื้นที่ทั้งในและนอกพนังกั้นน้ำที่จะได้รับผลกระทบ โดยแยกพื้นที่ว่าเดือดร้อนมาก หรือเดือดร้อนน้อย เพื่อดูแลตามมาตรการต่างๆ อย่างไรก็ตาม วันนี้เรามีกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) เป็นหน่วยงานบูรณาการอยู่แล้ว โดยจะจัดลำดับความสำคัญเร่งด่วน เพื่อจัดสรรงบประมาณทยอยให้

“ยอมรับว่ามีความกังวลและห่วงสถานการณ์น้ำในขณะนี้ เพราะประเทศไทยอยู่ในฤดูมรสุมและมีพายุเตี้ยนหมู่เข้ามา ขณะเดียวกันต้องติดตามสถานการณ์โลกด้วยว่าจะเตรียมการรับความพร้อมตรงนี้อย่างไร ซึ่งธรรมชาติเป็นสิ่งที่เราห้ามไม่ได้

“แต่สิ่งที่ย้ำเสมอว่าวันนี้โลกร้องเตือนมาแล้วให้เราดูแล ถ้าไม่ดูแลก็จะเกิดวิกฤตการณ์ต่างๆ เข้ามา ทั้งน้ำท่วม ฝนแล้ง หรืออุทกภัยต่างๆ สิ่งสำคัญที่สุดคือคนไทยต้องเตรียมตัวเตรียมความพร้อมว่าจะอยู่กับธรรมชาติยุคนี้ได้อย่างไร ดังนั้น ตัวเองต้องเตรียมการไว้ก่อน ขณะที่รัฐบาลก็พร้อมดูแล” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

Advertisement

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตอนนี้เป็นห่วงพื้นที่ภาคกลาง โดยเฉพาะพื้นที่นอกคันกั้นน้ำ แต่ได้รับคำชี้แจงจากกรมชลประทานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าได้มีการระบายน้ำตัดยอดน้ำที่มาจากภาคเหนือตอนล่างนำออกสู่ทะเลให้เร็วขึ้น แต่ช่วงนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศด้วย จึงขอให้ติดตามกรมอุตุนิยมวิทยา ทั้งนี้ คิดว่าระบบที่เราเตรียมความพร้อมมาหลายปีที่ผ่านมามีความพร้อม แต่อาจยังไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ จึงต้องเร่งดำเนินการให้เร็วขึ้น สิ่งสำคัญที่สุดการทำโครงการต่างๆ ต้องผ่านประชามติและผ่านความเห็นชอบของประชาชน ถ้าไม่ผ่านทำไม่ได้ ติดปัญหาที่ประชาชนยังไม่เห็นชอบร่วมกัน เพราะอาจมีคนเดือดร้อน หรือไม่เดือดร้อน ขอเพียงความร่วมมือ เพราะนายกฯบังคับใครไม่ได้ ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกันขอให้ช่วยกันกำจัดผักตบชวา กำจัดขยะ เพราะบางอย่างเกิดขึ้นบนฝั่งกระจายลงมาสู่แม่น้ำลำคลอง บ้านใครบ้านมัน ช่วยกันเก็บ ช่วยกันทำประโยชน์ นั่นคือหน้าที่ที่ต้องไปด้วยกัน ทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน ประชาสังคม ธุรกิจเอกชน ทุกคนต้องช่วยกันเพื่อพลิกโฉมไปให้ได้

“ในหลวงรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงทรงสั่งเสมอ และในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงห่วง และรับสั่งกับตนเสมอเวลาเข้าเฝ้าฯ ว่าต้องดูแลประชาชนให้มีความสุขและให้ปลอดภัย ให้ประเทศชาติยั่งยืนและเดินไปข้างหน้าให้มีเสถียรภาพ ดังนั้น เราจำเป็นต้องนำเรื่องเหล่านี้มาปฏิบัติ ให้เกิดผลสัมฤทธิ์ขึ้นมาให้ได้” นายกรัฐมนตรีกล่าว

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ขอบคุณผู้ว่าฯ นายกเทศมนตรี และทุกคน ซึ่งคนในพื้นที่ย่อมรู้ปัญหาดีอยู่แล้ว วันนี้การเดินหน้าประเทศต้องปรับรูปแบบทั้งหมด เพื่อพลิกโฉมประเทศไทยของเรา ทั้งเรื่องน้ำท่วม การแก้ปัญหาความยากจน การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน หรือเรื่องอื่นๆ เยอะแยะไปหมด ยืนยันว่ารัฐบาลจะทำเต็มที่

“สิ่งที่อยากฝากประชาชนไว้ว่าผมจะอยู่เพื่ออย่างนี้ เพื่อจะทำงานตรงนี้ก็สุดแล้วแต่จะว่ายังไงกันไป ซึ่งวันนี้ไม่ได้ดูเฉพาะเรื่องที่จะมา แต่ดูทุกอย่าง ดูตั้งแต่หน้าตาประชาชนว่ามีความสุขไหม ดูขยะ ดูผักตบชวา ดูชีวิตความเป็นอยู่ ดูสีสันของบ้านของเมือง นี่แหละศักยภาพเราอยู่แล้ว มันต้องหาศักยภาพตรงนี้ให้เจอแล้วเอาสิ่งที่เป็นจุดขายประเทศไทย ไม่ใช่ไปทำอย่างอื่น มันไม่เกิดประโยชน์ทั้งสิ้นไป ทำอะไรก็แล้วแต่เวลานี้” นายกฯ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า วันนี้ขอเปรียบเทียบดูเรื่องโควิดที่เราบริหารจัดการได้ดีกว่าหลายประเทศที่ยังมีปัญหา คนของเราตั้งกว่า 70 ล้านคนโดยประมาณ ทั้งคนไทยและคนที่มาทำงาน แต่เราฉีดวัคซีนได้เกือบครบแล้ว ในขณะที่ทุกวันนี้บางประเทศยังไม่ครบเลย ซึ่งเป็นประเทศรวยๆ ด้วยซ้ำไปที่กำลังแพร่ระบาดเยอะแยะไปหมด ดังนั้น สิ่งดีๆ ต้องหาให้เจอ อย่าไปจับผิดกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ เพราะยังไงมันก็เจอ เพราะยังไม่เสร็จ

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า นอกจากนี้ วันนี้ปัญหาหลายอย่างถึงต้องมีปรับแก้กฎหมาย ซึ่งกฎหมายก็ต้องเข้าสภา ดังนั้น ฝากฝ่ายนิติบัญญัติช่วยเร่งรัดกฎหมายเหล่านี้ด้วย ทั้งกฎหมายใหม่และกฎหมายไม่ทันสมัยที่ต้องปรับแก้ อย่ามัวแต่ไปเอากฎหมายอื่นๆ ที่มีความสำคัญน้อยกว่าเข้าไปพิจารณา เพื่อจะได้แก้ปัญหาประเทศได้โดยเร็ว ซึ่งต้องทำงานด้วยกันบริหารและนิติบัญญัติ

จากนั้นเวลา 15.00 น. นายกรัฐมนตรีแวะที่ท่าเรือพิบูลสงคราม 4 เพื่อเยี่ยมเยียนและมอบถุงยังชีพให้กับประชาชนที่เดือดร้อนที่ชุมชนตลาดขวัญ โดย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า รัฐบาลจะพยายามดูแลความเดือดร้อนให้ได้มากที่สุด รักทุกคนนะจ๊ะ อีกทั้งเมื่อมีชาวบ้านตะโกนว่า ลุงตู่สู้ๆ สู้ตาย นายกฯจึงกล่าวตอบว่า อย่าตายสิ

นอกจากนี้ มียังมีชาวบ้านกล่าวว่า ใครให้ลาออก ไม่ต้องออก ให้นายกฯสู้หัวทะลุฝาไปเลย ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวตอบว่า เหรอจ๊ะ ไม่กลัวหัวแตกเหรอ โอ้โห! นี่ดุเดือดดีนะ

ชาวบ้านจึงกล่าวว่า เห็นนายกฯโดนมาเยอะ นายกฯกล่าวว่า เราต้องชิน ต้องดูแลคนไทย ให้เวลาเราหน่อย เราจะทำทุกอย่างที่ทำมาแล้วให้เสร็จ

ทั้งนี้ ระหว่างพบประชาชน นายกฯกล่าวว่า ความรักความห่วงใยนายกฯลอยไปกับอากาศให้คนทั้งประเทศ ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง พร้อมเอามือตบที่หน้าอก จากนั้นมีชาวบ้านบอกว่า ปี 2554 น้ำท่วมสูงถึงคอ นายกฯ จึงกล่าวว่า ปีนี้ไม่ถึงหรอก เราพยายามทำเต็มที่ และเราทำเพิ่มเติมมามากจากช่วงนั้น

จากนั้นเวลา 15.30 น. ภายหลังเสร็จสิ้นการตรวจเยี่ยมให้กำลังใจและมอบถุงยังชีพให้ประชาชนที่ชุมชนตลาดขวัญ นายกฯตรวจเยี่ยมการบูรณะศาลากลางจังหวัดนนทบุรีหลังเก่า ต.บางกระสอ อ.เมือง จ.นนทบุรี ก่อนเดินทางลงเรือกลับ

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมคณะได้เปลี่ยนจุดขึ้นเรือจากเดิมที่กำหนดไว้ว่าจะนั่งเรือมาขึ้นรถเพื่อเดินทางกลับที่ท่าน้ำนนทบุรี แต่ปรากฏว่าระหว่างที่ล่องเรือเพื่อตรวจเยี่ยมและติดตามสถานการณ์น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่นั้น เป็นจังหวะเดียวกับที่กลุ่มต่อต้าน พล.อ.ประยุทธ์ได้ทยอยรวมตัวกันจำนวนมากที่บริเวณท่าน้ำนนท์ และมีการกระทบกระทั่งกับเจ้าหน้าที่ ทำให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและส่วนล่วงหน้า รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่ร่วมกันประเมินสถานการณ์

โดยมีการแจ้งไปทางเรือของนายกรัฐมนตรี เพื่อประสานกับทีมรักษาความปลอดภัยให้เปลี่ยนจุดขึ้นเรือให้กับนายกรัฐมนตรีพร้อมคณะ เพื่อหลีกเลี่ยงแรงปะทะ จึงเปลี่ยนมาขึ้นเรือที่ท่าเรืออาคารรัฐสภา (เกียกกาย) ฝั่ง ส.ว.

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image