วงเสวนาพท. ชี้การศึกษาไทย ต้องเปลี่ยนตามโลก รัฐต้องเปิดพื้นที่ให้เด็กกล้าฝัน

“เพื่อไทย” เสวนา โลกเปลี่ยน การศึกษาไทยต้องเร่งปรับ “พงษ์เทพ” แนะ เปิดพื้นที่ให้เยาวชนที่เห็นต่าง คิดถึงอนาคตของตัวเองได้ ด้าน”นพดล” ชี้ ต้องทำให้การศึกษาพุ่งทะยานไปข้างหน้า ขณะที่ “ณหทัย”เสนอแรงจูงใจด้านภาษี เผย เปิดโอกาสทางเศรษฐกิจมากกว่า

เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) มีการจัดเสวนา “โลกเปลี่ยน การศึกษาไทยต้องปรับ?” โดยมีนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายนพดล ปัทมะ ประธานคณะกรรมการนโยบายและวิชาการพรรค พท. และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ น.ส.ณหทัย ทิวไผ่งาม อดีตรองโฆษกประจำสำนักนายกฯ ร่วมเสวนา

นายพงษ์เทพ กล่าวว่า ปัญหาคุณภาพการศึกษาในไทยคือระบบการเรียนการสอนที่ไม่สอนให้เด็กคิดวิเคราะห์ และสร้างสรรค์ด้วยตนเอง โลกเปลี่ยนมานานแล้ว แต่ระบบการเรียนการสอนยังไม่เปลี่ยน ตัวอย่างรัฐธรรมนูญปี 2560 ผ่านมาแล้ว 4 ปี กฎหมายปฏิรูปการศึกษาพึ่งเข้าสภาฯ นับว่าช้าเกินไป ดังนั้นระบบการศึกษา หากจะปฏิรูปต้องเริ่มจาก 1.ปฏิรูปหลักสูตร ให้เรียนตามความจำเป็น 2. ทัศนคติครู ปรับให้รอบรับวิธีการสอนแบบใหม่ๆ และ3.ระบบการทดสอบนักเรียน ต้องปรับให้สอดคล้องกับการเรียนแบบใหม่ เน้นการคิดวิเคราะห์ให้มากขึ้น

ทั้งนี้โลกปัจจุบันและโลกอนาคต คุณภาพทรัพยากรมนุษย์คือความสำคัญที่สุด การทุ่มเททรัพยากร และงบประมาณเพื่อพัฒนาคนจะทำให้การศึกษาไทยสำเร็จเป็นรูปธรรม ดังนั้นการศึกษาไทยเสียเวลากับการเมืองต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เราต้องรีบสร้างทักษะคนให้พร้อม การพัฒนาคนต้องเน้นเสรีภาพการแสดงออก ยอมให้เด็กเห็นต่าง เปิดพื้นที่การมีส่วนร่วมของเยาวชน ในการคิดถึงอนาคตของตัวเองให้สามารถอยู่กับโลกใหม่ได้อย่างแท้จริง

Advertisement

ด้าน นายนพดล กล่าวว่า หลายปีมานี้ ปัญหาการศึกษารุนแรง ไม่ว่าปัญหาความเหลื่อมล้ำ เด็กยากจนหลุดจากระบบการศึกษานับแสนคน ปัญหาคุณภาพการศึกษาทั้งระบบ ดูจากตัวชี้วัด เช่นคะแนน PISA ที่ทดสอบด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และการอ่านคะแนนล่าสุดต่ำที่สุดในรอบ 15 ปี ทักษะภาษาอังกฤษคนไทยลดลงน่าใจหาย ปี 2563 ลดลง 15 ลำดับเป็นที่ 89 จาก 100 ประเทศ ระบบการศึกษายังไม่พัฒนาคนให้มีทักษะที่ต้องเผชิญความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ทางเศรษฐกิจและสังคม ไม่ตอบโจทย์การสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ผลิตแรงงานทักษะฝีมือไม่พอและตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน ขาดแคลนนักวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม

จึงเห็นว่า การพลิกโฉมการศึกษาอาจไม่พอ แต่ต้องทำให้การศึกษาพุ่งทะยานไปข้างหน้า ซึ่งเห็นว่าการพัฒนาการศึกษาต้องบรรลุเป้าหมาย 3 ด้านคือ 1.ทุกคนมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาคุณภาพระดับโลก ตามความถนัด ทุกที่ ทุกเวลา 2.สร้างสมรรถนะและทักษะที่จำเป็น  และ3.ต้องเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งปัญหาการศึกษาเป็นเรื่องใหญ่ เชื่อมโยงกับปัญหาความเหลื่อมล้ำ และปัญหาเศรษฐกิจอย่างแยกไม่ออก ทุกฝ่ายต้องร่วมทำ ซึ่งพรรคเพื่อไทยตระหนักในปัญหา มีแนวทางพร้อมแก้ไขถ้ามีโอกาส

Advertisement

ขณะที่ น.ส.ณหทัย กล่าวว่า ปัญหาด้านโครงสร้างทางกฎหมายปัจจุบัน ไม่ส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาอย่างแท้จริง เพราะการเรียนรู้และการศึกษา หากยิ่งตั้งกรอบมากขึ้นเท่าไหร่ จะยิ่งกดสมองไม่ให้พัฒนาไปมากขึ้นไปเท่านั้น ดังนั้นความยืดหยุ่น เปิดให้เด็กฝันมากขึ้น ก็จะยิ่งทำให้สมองพัฒนามากขึ้น นอกจากนี้ในฐานะผู้ประกอบการโรงเรียนเอกชน เห็นว่าการเปิดกรอบให้สถานศึกษาและครู ทำสิ่งแหวกแนวไปจากกรอบกฎหมายที่ครอบและกำหนดไว้ได้ จะนำสู่การปฏิวัติการเรียนรู้ของเด็กไทยอย่างแท้จริง ส่วนนโยบาย One tablet per child คือความก้าวหน้า เราต้องไม่หยุดพัฒนาประเทศไปให้ไกลกว่าทุกคน

จึงเสนอการทำระบบ Cloud data bank ขึ้นเพิ่มเติมด้วย เพื่อเป็นแพลตฟอร์มให้หน่วยงานรัฐหรือเอกชน สามารถเรียกดูประวัติผู้เรียน และเรียกระดมคนที่มีความเชี่ยวชาญตามสาขาที่ขาดแคลนนั้นเข้ามาระดมมาทำงานได้เลย นอกจากนี้ยังมีเรื่องผูกการศึกษากับระบบภาษี เข้ามาช่วย เช่น เรียนเยอะ อาจหักลดหย่อนได้มากขึ้น ให้คนเรียนสิ่งที่ผูกกับอาชีพจะได้ต่อยอดพัฒนาทักษะ เพื่อสร้างเศรษฐกิจฐานรากที่เข้มแข็งต่อไป ทั้งนี้การจัดการศึกษาต้องมองทั้งระบบ แยกส่วนไม่ได้ และรัฐไม่จำเป็นต้องทำทั้งหมด ควรกระจายอำนาจให้เอกชนช่วย โดยจูงใจด้วยนโยบายภาษีที่ดีเพียงพอ หากใครทำได้รวดเร็วกว่า ก็จะมีโอกาสทางเศรษฐกิจได้มากกว่า

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image