ราดสีเลือดอาบร่าง ‘ฟ้า’ ลั่นรำลึกครั้งสุดท้าย วีรชนตายจริงไม่ออนไลน์ ‘เจมส์’ ผุดกลุ่ม ครย.แง้มม็อบ 31 ตุลา

ราดสีเลือดอาบร่าง ‘ฟ้า’ ลั่นรำลึกครั้งสุดท้าย วีรชนตายจริงไม่ออนไลน์ ‘เจมส์’ ผุดกลุ่ม ครย.แง้มม็อบ 31 ตุลา

เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว กรุงเทพฯ ในงานรำลึกเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 กลุ่มทะลุฟ้าจัดกิจกรรม “48 ปี 14 ตุลา วันมหาวิปโยค” ตั้งแต่เวลา 16.00-19.00 น. โดยระบุว่าจะมีการแสดงดนตรี อ่านกวี และไฮด์ปาร์ก

เวลา 13.00 น. บริเวณหน้าลานอนุสรณ์ มีร้านค้าขายหมวก เสื้อ และขนมที่ประชาชนเอามาวางขาย ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก พร้อมทั้งมีการเปิดฟรีไมค์ให้ประชาชนได้ขึ้นมาพูดอย่างต่อเนื่อง

เวลา 15.20 น. บริเวณหน้าลานอนุสรณ์สถาน มีการติดตั้งเครื่องเสียงจากกลุ่มผู้ชุมนุม หลังจากนั้นมีการเปิดเพลงและเต้น ส่วนบริเวณหน้าลานอนุสรณ์มีการตั้งแผงวางขายของ ทั้งอาหารและเครื่องแต่งกาย

เวลา 15.20 น. ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา กลุ่มผู้ชุมนุมทำการติดตั้งเครื่องเสียง จากนั้นมีการเปิดเพลง ก่อนร่วมเต้น ทั้งนี้ บริเวณหน้าอนุสรณ์สถานยังมีพ่อค้าแม่ขายตั้งแผงวางขายของที่แสดงถึงสัญลักษณ์ในการเรียกร้องประชาธิปไตย อาทิ หมวก เสื้อสกรีนข้อความ ไปจนถึงร้านจำหน่ายอาหาร น้ำดื่ม และผลไม้ รวมไปถึงการติดตั้งป้ายระบุข้อความว่า ‘ที่ใดมีเผด็จการ ที่นั่นย่อมมีการต่อสู้’

Advertisement

บรรยากาศเวลา 15.36 น. เริ่มมีฝนปรอยลงมา โดยผู้ร่วมกิจกรรมยังคงปักหลักรอบบริเวณ

เวลา 16.23 น. ‘มายด์ ทะลุฟ้า’ ได้กล่าวปราศรัยบริเวณลานหน้าอนุสรณ์ว่า ในปัจจุบันยังเห็นได้ชัดว่าการสืบทอดอำนาจก็ยังคงมีอยู่ ดังนั้น เมื่อเผด็จการยังไม่ออกไป ประชาชนจึงต้องออกมาสู้ เพื่อให้เผด็จการจงพินาศ

เวลา 16.45 น. ตัวแทนเครือข่ายรามคำแหงกล่าวปราศรัยว่า นี่คือสภาพของพี่น้องเรา ของนักศึกษาเมื่อ 48 ปีที่แล้ว นี่คือสภาพของนักศึกษาที่ถูกบังคับให้ถอดเสื้อ 48 ปีที่แล้ว ไปจนถึง 6 ตุลา มันเกิดขึ้นตั้งแต่ปี’16 ยัน 19

Advertisement

“ผมไม่กลัวไมค์เปียกฝน ห่าฝนพวกนี้เทียบไม่ได้กับห่ากระสุนที่วีรชนต้องเผชิญ สถานที่แห่งนี้เป็นอนุสรณ์สถานแห่งความทรงจำ แห่งความสูญเสีย และเป็นสถานที่เตือนใจว่าเคยเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนเรา ผมในฐานะรุ่นน้อง เด็กรามคำแหงคนหนึ่ง มันเริ่มต้นขึ้นที่รามคำแหง รามคำแหง 9 คน จากรามคำแหง 9 ไปเป็นกบฏ 13 ทำไมพวกเขาถึงโดนเรียกว่ากบฏ แค่พวกเขาต้องการประชาธิปไตย

“เป็นเรื่องที่น่าเศร้า 48 ปีที่ผ่านไป นักศึกษาที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยก็ยังถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏไม่ต่างจากเดิม เมื่อเช้าเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้น คนที่รอดชีวิตในวันนั้นทำอะไรในวันนี้ พวกคุณมาเหยียบที่นี่ หน้าไม่อาย ไม่เคยอายวิญญาณวีรชนเลย บางท่านอาจจะมาไม่ทัน

“ป้ายผ้าที่ท่านเห็นแขวนอยู่ตอนนี้ แขวนโดยพี่น้องทะลุฟ้า แขวนได้ไม่ทันไรก็มีผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ 14 ตุลา ออกมาสั่งให้เราปลด เขาบอกว่าไม่อยากสร้างความแตกแยก แล้วป้ายผ้าพวกนี้มันแตกแยกอะไร” ตัวแทนเครือข่ายรามคำแหงเพื่อประชาธิปไตยกล่าว

 

เมื่อเวลา 17.00 น. นายโชคดี ร่มพฤกษ์ หรืออาเล็ก ศิลปินเพลงเพื่อราษฎร ดีดกีต้าร์และร้องเพลงเนื้อหาต้านเผด็จการ พร้อมทั้งกลุ่มผู้ชุมนุม ได้ลุกขึ้นมาเต้นตามเพลง บรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนาน

เวลา 17.28 น. นายเจษฎา ศรีปลั่ง หรือเจมส์ เครือข่ายคนรุ่นใหม่นนทบุรี กล่าวปราศรัยว่า ในฐานะครบรอบอีกวาระหนึ่งของชาว 14 ตุลา วิญญาณในที่นี้ก็เจ็บปวด เพราะ 14 ตุลา คือการหลอกลวงว่าทรราชหมดจากแผ่นดินไทย ทรราชหมดไป 3 คน แต่องคาพยพเผด็จการยังคงอยู่

“เหตุการณ์สำคัญใน 14 ตุลา ท่านคงคิดว่ารัฐบาลขณะนั้นเป็นฆาตรกรที่โหดร้ายที่สุด จอมพลถนอมโหดร้ายแค่ไหน แต่เขาฆ่าพี่น้องเราได้แค่ 77 ศพ ถามว่าถ้าวันนี้ประยุทธ์ 100 ศพ 1,000 ศพ จะออกจากประเทศไทยหรือไม่ ไม่ว่าทะลุแก๊ซ หรือพี่น้องชุมนุมบาดเจ็บที่ไหน เคยมาดูแลหรือไม่ ผมจึงมั่นใจว่า ไม่ว่าจะ 1,000 ศพ ประยุทธ์จะอยู่ต่อไป

“ข้อ 2 เหตุการณ์ 14 ตุลา เป็นเพียงการดราม่า ใช้ชีวิตผู้คนที่เป็นนักประชาธิปไตยมาโค่นล้ม 3 ทรราช ถามว่าหลังทรราชออกไปยังมีการเข่นฆ่าประชาชนหรือไม่ คนที่หวังจะขึ้นตำแหน่งทางการเมืองก็ใช้ชื่อเราในการปลูกฝังว่าไม่รักชาติ ร้ายระยำอย่างไร

“3 ระบอบทรราชยังอยู่ ยังมีอีกหลายตัวที่ค่อยๆ ทยอยปรากฏตัวทุกวัน บ้างก็หลบอยู่ บ้างก็เปิดเผย แต่ปีนี้สำคัญหน่อย เปิดเผยทั้งแผ่นดิน” นายเจษฎากล่าว

เจษฎา ศรีปลั่ง หรือเจมส์ เครือข่ายคนรุ่นใหม่นนทบุรี

นายเจษฎากล่าวต่อว่า 14 ตุลา เป็นความเจ็บปวดที่สุด เราสู้จนบาดเจ็บล้มตาย ทุกคนก็ยังรำลึกนึกถึง ไม่ว่าจะเมษา 53 พฤษภา หรือว่าปีที่แล้วของราษฎร แม้ไม่ได้ล้มตาย แต่บาดเจ็บ อุ้มหายมากมาย คือระบอบที่เลวร้ายที่สุด

“แต่ผมมั่นใจในพลังของคนรุ่นใหม่ที่กำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น อย่าชังคนที่กลับใจ อย่าไปว่าเขา คนฝั่งเราอย่างไรก็ไม่กลับไป แต่คนที่จะอยู่ยั่งยืนกว่าเราคือสลิ่มกลับใจ เพราะพวกนี้เมื่อตาสว่างจะไม่กลับไปอีก อย่าได้เกลียดเขา เราไม่ต้องไปกล่าวหาใคร เคารพสิทธิเสรีภาพของกันและกัน อย่าได้ขังเพื่อนเราไปมากกว่านี้” นายเจษฎากล่าว และว่า มีงานสำคัญเร็วๆ นี้ 31 ตุลาคม จะมี “ครย.” คณะราษฎรยกเลิก 112 เกิดขึ้น ถ้าไม่ยกเลิกก็เอาหลัก 6 ประการของคณะราษฎรมาใช้ได้ 1.ต้องเป็นเอกราช เอาแต่ข้อแรกพอ ต้องรักษาเอกราชทั้งหลาย

“วันได้ที่เปลี่ยนแปลง เราจะเอาประวัติศาสตร์มาลงหนังสืออย่างแน่นอน ลดทิฐิเสียบ้าง ฟังคนรุ่นใหม่ จะเดินหน้าอย่างไร ถ้ายอมลดราวาศอก เราก็พร้อมให้อภัย สุดท้ายนี้คิดให้ดีก่อนวันที่ 31 ตุลาคม” นายเจษฎากล่าว

จากนั้นเวลา 17.44 น. นายพรหมศร วีระธรรมจารี หรือฟ้า แกนนำราษฎรมูเตลู ทำการราดสีแดงลงบนร่างกาย ก่อนปราศรัยตอนหนึ่งว่า คนตายไม่ได้ตายออนไลน์ ตายจริง การตาย 14 ตุลา 16 เมื่อ 48 ปีที่แล้ว เมื่อ 45 ปีที่แล้ว 6 ตุลา 19 หรือของพี่น้องเสื้อแดงก็ไม่ใช่การตายออนไลน์ หรือเมื่อครั้งกบฏบวรเดชก็ไม่ใช่การตายออนไลน์ แต่คือการตายอย่างแท้จริง

“สีแดงที่อาบบนตัวฟ้าเป็นการสดุดีวีรชนจากเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยในประเทศเรา ฟ้าไม่สามารถตอบได้อย่างจริงใจว่าตัวเองมีสภาพจิตใจเข้มแข็งเพียงใดกับการที่เพื่อนฟ้าอยู่ในเรือนจำ

“เราเคยสัญญากันไว้ว่าคนข้างในสู้เพื่อคนข้างนอก คนข้างนอกสู้เพื่อวิญญาณแห่งเสรีชน ตลอดเวลามานี้ ทำไมทางเดินประชาธิปไตยถึงมีขวากหนามมากมายเหลือเกิน เผชิญปัญหานับครั้งไม่ถ้วน พวงหรีดเหล่านี้ อุปมาเป็นของไร้สาระอย่างแท้จริง หากเหตุการณ์ไม่ฝังลึกลงไปในแบบเรียนการศึกษาไทยในปัจจุบัน เป็นเพียงแค่หน้ากาก สิ่งเยินยอ วันหนึ่งก็โรยรา แต่สิ่งที่จริงคือการปลูกสร้างสำนึกการสูญเสียประชาธิปไตย”
นายพรหมศรกล่าว

พรหมศร วีระธรรมจารี หรือฟ้า แกนนำราษฎรมูเตลู

จากนั้นหันไปชมพวงหรีดที่ร่วมระลึก ก่อนกล่าวว่า “ปลอม” และว่า พรรคเพื่อไทย ฟ้าจะดีใจมาก ถ้ายืนเคียงข้างประชาชนมากกว่านี้ หรือก้าวไกล ถ้าเป็นโต้โผเรื่อง ม.112 เราไม่ได้มีสิทธิเสรีภาพอย่างแท้จริง รัฐบาลที่ดีได้แค่หล่อเลี้ยงร่างกาย แต่ไม่สามารถขจัดพยาธิในร่างกายได้ สิ่งที่กัดกินคือเผด็จการที่รบกับจิตใจประชาชนไม่ได้ ประการแรก ยกเลิกกฎหมายไม่เป็นธรรม แล้วชำระประวัติศาสตร์

“ไม่ตั้งโต๊ะ เสียเวลา ฝ่ายเราเจ็บจริง ตายจริง เลือดอาบแผ่นดิน ไม่เคยปรากฏประวัติศาสตร์ภาคประชาชน ไม่เคยรู้ว่าภาคเหนือ ใต้ ตะวันออก มีอะไร แล้วมาบอกว่าจะปรองดองแบบไทยๆ ไทยภักดีรู้หรือไม่ว่าไทยไม่เคยเป็นของภาคกลาง แต่เป็นของคนแต่ละชาติ แต่ละเผ่าที่มารวมกัน โขง ชี มูล ลุ่มน้ำตานี มลายู คนลื้อ คนม้ง เย้า ก็คือคนไทย แต่เมื่อคนไทยออกมาเรียกร้อง ทำไมไม่ฟัง

“ความเจ็บปวด คราบน้ำตา คือสิ่งที่ทรมานมากที่สุด การต่อสู้มีขวากหนาม ไม่สามารถตอบได้ว่าคืออะไร เดินไปข้างหน้า เราเจอหมาย มีคุกตะรางเป็นบ้าน มีลูกกรงเป็นเพื่อน มีหนังสือคอยขับกล่อมเป็นวงดุริยางค์ ‘ขนาดนกยังบินไปแสวงหาเสรีภาพ แล้วกับคนไม่แสวงหาเสรีภาพให้ตนเอง’ เรารวมกันเพื่อสร้างสังคมที่มีเสรีภาพอย่างแท้จริง แล้วจะได้เห็นการต่อสู้ของประชาชน

“เราจะประกาศให้ได้ยินว่า การต่อสู้ของประชาชนครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย และจะไม่มีการรำลึกครั้งไหนอีก

“เพื่อนเราข้างในคือประจักษ์พยานแล้วว่าประชาชนจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน อำนาจสูงสุดจะเป็นของประชาชน ไม่ว่าอยู่ไหน ขอให้ออกมาเรียกร้อง ติดตามการชุมนุมใหญ่ที่มาแน่ๆ ในปีนี้” นายพรหมศรกล่าว

จากนั้นเวลา 18.00 น. ผู้ร่วมกิจกรรมชู 3 นิ้ว เคารพธงชาติ ก่อนเปล่งเสียง “เผด็จการจงพินาศ ประชาราษฎร์จงเจริญ”

ต่อมามีการอ่านบทกวี โดย นายทรงพล สนธิรักษ์ หรือยาใจ เนื้อหาความว่า

“น้ำตาที่หลั่งไหล หากยังคงยืนหยัด ขับไล่ แสงทองจะส่องนำกระจ่างใจ อำนาจอธิปไตย จะเป็นของผองประชา

“ลืมคนตาย ด้วยค่ายนิยม ผีร้าย จึงเสกดอกไม้ให้ผลิบาน แต่ทับลอยคราบน้ำตาประชาชน ให้ลืมคนที่สิ้นใจ ปืนที่ประกาศชัย เลือดนั้นหลั่งไหลลงแผ่นดิน

“แต่ลมเพ พัดพาเวลาเปลี่ยน เวลาผ่านมา ไม่อาจลบคราบน้ำตาได้หมดสิ้น ไม่อาจลืมรอยเลือดแดง ระแหงดิน ไม่อาจลืมทุกชีวินที่สิ้นชีวา”

โดยขณะอ่านบทกวี สมาชิกทะลุฟ้าและทะลุแก๊ซได้โปรยกระดาษข้อเรียกร้องลงมาจากบนหลังคาอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา โดยผู้ร่วมกิจกรรมส่งเสียงเฮ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image