09.00 INDEX เสถียรภาพ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผลสะเทือน จาก ‘พลังประชารัฐ’
ความขัดแย้งกระทั่งกลายเป็นการแตกแยกอันเกิดขึ้นระหว่างรัฐบาล กับพรรคพลังประชารัฐ ขยายเป็น “ภายใน” พรรคพลังประชารัฐกำลังส่งพิษร้ายและผลสะเทือนอย่างเป็นรูปธรรม
รูปธรรมหนึ่งอันเป็นเงาสะท้อนที่สำคัญ คือการใช้อำนาจมาตรา 171 นำไปสู่คำสั่ง “ปลด” รัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง
นั่นก็คือ ประกาศอันมีผลตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน ส่งผลให้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี นางนฤมล ภิญโญสิน วัฒน์ พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี
คำสั่งปลดครั้งนี้ไม่เพียงหวังให้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี หากแต่เหมือนเป็น กระดานหกให้พ้นจากเลขาธิการและเหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ
แต่เมื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคยังคงยืนหยัดให้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นเลขาธิการ นางนฤมล ภิญ
โญสินวัฒน์ยังเป็นเหรัญญิกพรรคอยู่เหมือนเดิม
ความขัดแย้งอันเริ่มจากตำแหน่ง “รัฐมนตรี” จึงปะทุกลายเป็น ความขัดแย้งเกี่ยวกับ “อำนาจนำ” ภายในพรรคพลังประชารัฐ
ความหมายอย่างตรงตัวก็คือ ความขัดแย้งนี้มิได้เป็นเรื่องระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า หากแต่ลึกดึงให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กลายเป็นคู่แห่งความขัดแย้ง
ผลสะเทือนตามมาก็คือ การแยกกัน “เดินสาย” เพื่อสำแดงพลังระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
รูปธรรมที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนก็คือ การแบ่งสาย ย้ายขั้วในพรรคพลังประชารัฐ เกิดภาพรัฐมนตรีซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มบางคน ต้องแสดงออกทั้งโดยอ้อมและโดยตรง
รูปธรรมอันตามมาก็คือ เกิดความไม่แน่นอนว่าจะเลือกใครให้เป็นตัวแทนลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯกรุงเทพมหานคร
ภาวะอ่อนแรงการเมืองภายในพรรคพลังประชารัฐจึงปรากฏ
ยิ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แสดงความต้องการที่จะยื่นมือเข้าไปจัดระเบียบภายในพรรคพลังประชารัฐ ปฏิกิริยาตอบโต้จากภายในสะท้อนผ่าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ยิ่งรุนแรงและเด่นชัด
เด่นชัดท่ามกลางการแสดง “ความรัก” ต่อกันและกันเป็นม่านบัง
การเดินหน้าทางการเมืองจึงมิได้เป็นการเดินหน้าอย่างเป็นเอก ภาพแต่พร้อมจะเผชิญคลื่นลมได้ตลอดสองรายทางข้างหน้า
สภาวะ “รัฐล้มเหลว” จึงเป็นเครื่องฟ้องร้องและประจานออกมา
